เสนอแจกเงินดิจิทัลแบ่งเป็น 2 เฟส เน้นกลุ่มผู้รายได้น้อยก่อน เพิ่มเกณฑ์นอกเหนือเงินเดือนและเงินฝาก
เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวถึงนโยบายการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาล ที่มีการปรับเกณฑ์การแจกเงินดิจิทัลใหม่ โดยอาจจะตัดกลุ่มคนที่มีรายได้ 25,000 - 50,000 บาท ต่อเดือน และยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียดของโครงการ
ระบุว่า หากรัฐบาลจะเดินหน้าโครงการต่อ สามารถกู้เงินบางส่วนมาทำได้ โดยอาจแบ่งจ่ายเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยกว่า 40,000 - 50,000 บาทก่อน เพราะเป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องนำเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เมื่อเกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และเมื่อรัฐมีรายได้กลับมา ค่อยเริ่มแจกในเฟสที่ 2 ให้กับคนที่มีรายได้สูงขึ้น ส่งเสริมให้กลุ่มที่มีรายได้สูง ใช้เงิน 10,000 บาทเพื่อการลงทุน จะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น
ด้าน รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวเช่นกันว่า การลดขนาดและวงเงินของการแจกเงินดิจิทัลลงมา จะทำให้สามารถลดความเสี่ยงทางการคลังในอนาคตลงมาได้ แม้จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีหน้าลดลงบ้าง
แต่จะให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากกว่าในระยะปานกลาง หากมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยประมาณ 15 ล้านคน จะใช้เงินงบประมาณ 1.5 แสนล้านบาทและอาจไม่จำเป็นต้องกู้เงินเลย นอกจากนี้ การแจกเฉพาะกลุ่มเน้นไปที่คนยากจนหรือชนชั้นกลางรายได้ต่ำ คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มใช้จ่ายมากและเร็ว มักซื้อสินค้าจำเป็นภายในประเทศ จะทำให้ประสิทธิภาพของโครงการแจกเงินเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากไม่แจกเงินถ้วนหน้า รัฐบาลควรปรับเกณฑ์คัดกรองคนมีรายได้สูงนอกเหนือจากเกณฑ์เงินฝากและเงินเดือน การที่ตัดคนที่เงินเดือนเกินกว่า 25,000 บาทออก แต่ยังใช้งบประมาณมากกว่า 430,000 ล้านบาท เนื่องจากคนจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีอยู่ประมาณ 4 ล้านกว่าคน จากกำลังแรงงานทั้งหมดเกือบ 40 ล้านคนนั้น การที่คนเสียภาษี 4 ล้านคนนี้ แบกรับภาระมาตราแจกเงิน เกิดประเด็นทางนโยบายสาธารณะว่า เราควรพัฒนาระบบภาษีให้เป็นธรรม และ ขยายฐานภาษีให้กว้างขวางขึ้นและ เร่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยด่วน