ไม่ใช่ 7% อีกต่อไป สศช. ชงขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อเป็นหลักประกันวัยเกษียณ
วันนี้ (26 ส.ค. 2566) นางสาววรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวในงานเสวนา ข้ามรุ่น อนาคตประเทศไทย จัดโดย สศช.ร่วมกับกองทุนประชากรแห่งประเทศไทย ว่า โครงสร้างประชากรไทยถือเป็นสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์
โดยปี 2566 มีผู้สูงอายุ 13.5 ล้านคน คิดเป็น 20% ของประชากรทั้งประเทศ ส่วนอีก 10 ปีข้างหน้า หรือปี 76 คาดว่าน่าจะมีผู้สูงอายุ 18.38 ล้านคน หรือ 28% ของประชากรทั้งหมด จากนั้นปี 83 ผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 20.51 ล้านคน หรือ 31.37% ของประชากรทั้งหมด เท่ากับว่าประชากรสูงอายุจะคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศเลยทีเดียว
ทั้งนี้ การสำรวจรายได้ผู้สูงอายุ 34% หรือ 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุยังคงทำงานอยู่ แต่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน โดยผู้สูงอายุกว่า 78.3% มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปี ยกเว้น ข้าราชการเท่านั้นที่เกษียณแล้วมีรายได้จากเงินบำนาญชัดเจนไม่ต่ำกว่า 40% ของรายได้เดือนสุดท้ายที่ได้รับ
ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ที่ออมเงินอยู่ในช่องทางอื่น เช่น ประกันสังคม หรือกองทุนการออมแห่งชาติ มีไม่เพียงพอที่จะใช้จ่ายในวัยเกษียณ มีการนำเสนอรูปแบบการออมสำหรับผู้สูงอายุหลายรูปแบบ โดยรูปแบบที่มีการเสนอผ่านคณะกรรมการปฏิรูปสังคมและ สศช.เห็นว่าเป็นแนวทางที่ดี คือการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จาก 7% เป็น 10%
โดยส่วนที่ปรับขึ้น 3% รัฐอาจออกกฎหมายเฉพาะให้ส่วนนี้มาเป็นเงินออมของประชาชนเพื่อใช้วัยเกษียณ โดยทำความเข้าใจให้ประชาชนยอมรับการขึ้นภาษีนี้ได้ เพราะทำให้มีหลักประกันวัยเกษียณ และรัฐบาลก็มีแหล่งรายได้ที่ชัดเจน นำมาจัดสวัสดิการให้ประชาชนสูงวัยในอนาคต
โดย นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ช่วง 10 เดือนของปีงบประมาณปี 66 (ต.ค.65-ก.ค.66) รัฐจัดเก็บรายได้สุทธิ 2.14 ล้านล้านบาท สูงกว่าเอกสารงบประมาณ 150,899 ล้านบาท หรือ 7.6% และสูงกว่าปีก่อน 5.2% หากไม่รวมรายได้พิเศษของส่วนราชการอื่น ๆ ผลการจัดเก็บรายได้จะสูงกว่าประมาณการ 4.1% หรือ 80,923 ล้านบาท และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 1.8%
หน่วยงานที่จัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการคือ 1. กรมสรรพากร ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีแวตและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. ส่วนราชการอื่น เช่น การนำส่งทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนเป็นรายได้แผ่นดิน, รายได้จากสัมปทานมือถือ เป็นต้น 3. กรมศุลกากร เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าสูงกว่าประมาณการจากเงินบาทอ่อนค่าและมีการชำระภาษีย้อนหลัง