5 เทคนิคการใช้ไฟเลี้ยว ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

5 เทคนิคการใช้ไฟเลี้ยว ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

ไฟเลี้ยวถือว่าเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ติดมากับรถทุกคัน (แต่บางคันทำไมไม่ใช้ก็ไม่รู้) เพราะมันช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุขณะเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลนได้เป็นอย่างดี  แต่อาจจะมีบางอย่างที่หลายคนไม่รู้เกี่ยวกับไฟเลี้ยง วันนี้เราจึงขอแนะนำ 5 เทคนิคการใช้ไฟเลี้ยว ที่คุณอาจไม่รู้มาก่อนก็ได้

1. ยกก้านขึ้นหนึ่งครั้งเพื่อเปลี่ยนเลน

การเปิดไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลนนั้น ไม่จำเป็นต้องยกก้านจนสุด เพียงแต่ยกก้านขึ้นในระดับหนึ่งเพื่อให้ไฟเลี้ยวติดชั่วคราวเท่านั้น หากเป็นรถรุ่นใหม่ ๆ ก็จะมีระบบไฟเลี้ยวเปลี่ยนเลนมาให้ด้วย โดยเมื่อยกก้านขึ้น 1 ครั้ง ไฟเลี้ยวจะกะพริบเป็นจำนวน 3 ครั้ง สำหรับการเปลี่ยนเลนโดยเฉพาะ

2. กะพริบถี่ ๆ แสดงว่าหลอดขาด

หากเปิดไฟเลี้ยวแล้วพบว่าไฟเลี้ยวข้างนั้น ๆ หรือเสียงรีเลย์ดังถี่ผิดปกติ แปลว่าไฟเลี้ยวหลอดใดหลอดหนึ่งขาด ซึ่งอาจจะเป็นด้านหน้าหรือหลังก็ได้ ทางที่ดีควรรีบเปลี่ยนหลอดไฟทันทีเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน

3. ยกก้านค้างไว้ขณะดับรถจะเปลี่ยนเป็น Parking Light

ในรถยุโรปส่วนใหญ่นั้น หากยกก้านไฟเลี้ยวค้างไว้ขณะดับเครื่องยนต์ ไฟหรี่ข้างนั้น ๆ จะสว่างขึ้น เรียกว่า Parking Light ซึ่งบ้านเราคงไม่จำเป็นต้องใช้งานสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นกฎหมายของการจอดรถข้างทางในยุโรปบางประเทศเท่านั้น ทางที่ดีอย่าลืมปรับก้านไฟเลี้ยวให้อยู่ในตำแหน่งปกติเมื่อดับรถ เพื่อป้องกันไม่ให้กินแบตเตอรี่โดยไม่จำเป็น

4. หากยกขวา-ซ้ายสลับกันหมายถึงข้างหน้าอาจมีอุบัติเหตุ

จริง ๆ แล้ว สัญญาณไฟเลี้ยวอาจมีความหมายอื่นนอกจากเตรียมเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลน ซึ่งที่พบเห็นได้บ่อย ๆ (ส่วนใหญ่จะเป็นรถตู้โดยสารและรถบรรทุก) ก็คือการเปิดไฟเลี้ยวซ้าย-ขวาสลับกันถี่ ๆ ซึ่งบ่งบอกว่าข้างหน้ามีการเบรกกะทันหัน ให้ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

5. เปิดไฟเลี้ยวล่วงหน้ากี่เมตรขึ้นอยู่กับความเร็ว

หากว่ากันตามกฏหมายแล้ว พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ระบุไว้ว่า หากผู้ขับขี่ต้องการเลี้ยวรถจะต้องชะลอรถและเปิดไฟเลี้ยวก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่า 30 เมตร แต่ทางที่ดีควรแปรผันตรงกับความเร็วรถในขณะนั้น เพื่อความปลอดภัยด้วย กล่าวคือ หากใช้ความเร็ว 30 กม./ชม. ก็ควรเปิดไฟเลี้ยวก่อนเป็นระยะทาง 30 เมตร หรือหากใช้ความเร็ว 60 กม./ชม. ก็ควรเปิดไฟเลี้ยวล่วงหน้าเป็นระยะทางราว 60 เมตร เป็นต้น

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ