สภาลงมติไม่ให้เสนอชื่อ พิธา โหวตซ้ำ 395 ต่อ 312 เสียง หมดสิทธิ์เป็นนายก สะพัดเสนอชื่อบุคคลนี้มาแทน

สภาลงมติไม่ให้เสนอชื่อ พิธา โหวตซ้ำ 395 ต่อ 312 เสียง หมดสิทธิ์เป็นนายก สะพัดเสนอชื่อบุคคลนี้มาแทน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 ก.ค.2566 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญ เป็นครั้งที่ 2 โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม โดยนายสุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรเพื่อไทย เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ โดยมีผู้รับรองตามข้อบังคับ

ทั้งนี้ ในการพิจารณาดังกล่าวไม่สามารถลงมติตามที่ขั้นตอนได้ เนื่องจากที่ประชุมได้พิจารณาข้อหารือ ตามที่นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอประเด็นให้พิจารณาเพื่อโต้แย้งการเสนอชื่อนายพิธา ให้รัฐสภาโหวตเป็นนายกฯ รอบสอง เพราะมองว่าการชื่อของนายพิธานั้นเข้าข่ายเป็นญัตติที่รัฐสภาตีตกไปแล้ว หลังจากการประชุมรัฐสภา เมื่อ 13 ก.ค.นั้น นายพิธาไม่ได้เสียงเห็นชอบให้เป็นนายกฯ

ดังนั้น กรณีเสนอชื่ออีกครั้ง ถือว่าขัดกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41 อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่า ชื่อของนายพิธาไม่ได้เสียสิทธิ์ต่อการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ แต่ต้องเกิดขึ้นในสมัยประชุมครั้งถัดไป

ต่อมามีรายงานว่า ที่ประชุมได้ใช้เวลาถกเถียงกันอย่างดุเดือดเข้มข้น ระหว่างพรรคขั้วรัฐบาลเดิม กับ 8 พรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงฝั่งส.ว. ซึ่งยกเหตุผลและข้อบังคับ รวมถึงรัฐธรรมนูญว่าด้วยการโหวตนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 สนับสนุนเหตุผลของฝั่งตนเอง ทั้งนี้พรรคก้าวไกล ยืนยันว่าการเสนอชื่อบุคคลให้ความเห็นชอบเป็นนายกฯ นั้น เป็นเรื่องที่เสนอให้พิจารณา ไม่ใช่การเสนอญัตติตามที่บัญญัติไว้ในข้อบังคับการประชุม

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของการอภิปราย นายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายตอนหนึ่งว่า ตนขอให้หัวหน้าพรรคการเมืองระลึกด้วยว่า การพิจารณาตามข้อหารือนั้นอาจสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีของอนาคตการเมืองไทย การเลือกนายกฯ ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 272 นั้น มีโอกาสใช้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะครบ5 ปี ทั้งนี้รัฐธรรมนูญ ยังมีผลบังคับใช้ และการเลือกนายกฯต้องปฏิบัติตามมาตรา 159 โดยให้สภาฯเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากบัญชีของพรรคการเมือง

ดังนั้น ในอนาคตหากเกิดกรณีที่พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งไม่พอใจ เพราะจัดสรรปันส่วนไม่ลงตัว และที่ประชุมสภา ไม่รับข้อเสนอของพรรคเสียงข้างมากที่เสนอบุคคลเป็นนายกฯ คนที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯอาจตกม้าตาย เพราะที่ประชุมมโหวตไม่ได้ และหากยึดบรรทัดฐานที่ระบุว่าเสนอชื่อซ้ำไม่ได้อาจจะสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีในอนาคต

ด้วยความเคาพอย่าให้บรรทัดฐานการเมือง ต่อประเด็นลงมติเลือกนายฯ เป็นบรรทัดฐานที่ไม่ดีต่อไปในอนาคต ผมเห็นว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 มาตรา 272 และข้อบังคับการประชุมรัฐสสภา ข้อ 136 เป็นบทบัญญัติเฉพาะว่าด้วยการเลือกนายกฯ ดังนั้นจะนำเรื่องข้อบังคับที่เป็นญัตติ ซึ่งเป็นบททั่วไปมาบังคับไม่ได้ ทั้งนี้ไม่มีอะไรห้ามที่จะเสนอ ตรงกันข้ามการพิจารณานั้นต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ” นายชูศักดิ์ อภิปราย

มีรายงานว่า ที่ประชุมได้ใช้เวลาถกเถียง และอภิปรายในเหตุผลที่สนับสนุนความเห็นของฝั่งตนเอง ซึ่งใช้เวลานานกว่า 8 ชม และเมื่อเวลา 16.55 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวว่าขอให้ที่ประชุมลงมติ ว่า การเสนอชื่อนายพิธาให้รัฐสภาโหวตเป็นนายกฯ อีกรอบขัดกับข้อบังคับการประชุมข้อ 41 หรือไม่

โดยผลการลงมติ พบว่า เสียงข้างมาก 395 เสียง ต่อ 312 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง สรุปคือไม่ให้เสนอชื่อนายพิธาซ้ำได้ในสมัยประชุมนี้ จากนั้นประธานได้สั่งปิดประชุมในเวลา 17.05 น.

มีรายงานว่า มีรายงานข่าวว่า จะมีการนัดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อโหวตนายกฯอีกครั้งในวันที่ 26 ก.ค. โดยคาดว่าทางพรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ชิงตำแหน่งนายกฯ

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ