ทนไม่ไหวแล้ว แห่แจ้งจับ อดีตผู้กองจิ

ทนไม่ไหวแล้ว แห่แจ้งจับ อดีตผู้กองจิ

เมื่อวันที่ 19 ก.ค.66 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายธมะนันท์ แตงทิม หรือ จ่าคิงส์ สะพานใหม่ พาผู้เสียหายเกือบ 10 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.สายยุทธ ยศคำ สว.(สอบสวน) กก.1.บก.ป. และ ร.ต.ท.ดวง ขาวสอาด รอง.สว.(สอบสวน) กก.3.บก.ป. เพื่อแจ้งความเอาผิด อดีตตำรวจและนายหน้ารับจำนำ ร่วมกันยักยอกรถยนต์ของชาวบ้านไป สร้างความเดือดร้อนที่ต้องกลายเป็นหนี้เป็นจำนวนมาก

นายธมะนันท์ กล่าวว่า ผู้เสียหายทั้งหมดถูกยักยอกรถยนต์ไป โดยแบ่งเป็น 2 คดี คดีแรก เป็นกลุ่มผู้เสียหายที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งอดีตตำรวจหลอกให้ดาวน์รถก่อนจะเชิดหนีหายไม่ยอมส่งค่างวดรถต่อ ทิ้งหนี้ไว้ให้กับเจ้าของรถ

ส่วนคดีที่ 2 เป็นครูของโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านบางซื่อ นำรถไปจำนำกับนายหน้ารับจำนำรถย่านดอนเมือง แต่กลับถูกเชิดรถหนีหายไปขาย หรือจำนำต่อกับนายทุนเงินกู้อีกเจ้าหนึ่ง

ด้าน ส.ท.บุญญฤทธิ์ หลักทอง อายุ 32 ปี ผู้เสียหายในคดีแรก กล่าวว่า ตนมาแจ้งเอาผิดนายจิรพันธ์ หรือ ผู้กองจิ อดีตตำรวจ หลังจากเมื่อปี 2563 ขณะนั้นตนขาดสภาพคล่องทางการเงิน จึงโพสต์ประกาศขายดาวน์รถผ่านเฟซบุ๊ก เนื่องจากทนแบกรับภาระค่างวดรถไม่ไหว

จากนั้นไม่นานนายจิรพันธ์ ติดต่อเข้ามาเพื่อขอรับรถไปผ่อนต่อเอง พร้อมอ้างตัวว่าเป็นตำรวจอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ตนไว้ใจจึงส่งมอบรถให้ไป เพราะเห็นว่าเป็นข้าราชการด้วยกัน แต่หลังจากนายจิรพันธ์ได้รถไปแล้วกลับไม่ยอมมาทำเรื่องเปลี่ยนสัญญาผู้ครอบครอง ตอนแรกแต่ยังไม่ได้เอะใจอะไร เพราะเห็นว่าส่งงวดรถตามปกตินานกว่า 1 ปี

ส.ท.บุญญฤทธิ์ กล่าวต่อว่า จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมา ผู้กองจิเริ่มไม่ส่งค่างวดรถติดต่อกันถึง 5 เดือน เมื่อทวงถามก็บ่ายเบี่ยง ก่อนตัดขาดการติดต่อไป ประกอบกับตนมาทราบความจริงภายหลังว่านายจิรพันธ์นั้น ถูกให้ออกจากราชการตำรวจไปแล้วตั้งแต่เมื่อปี 2559 แต่ยังอ้างตัวว่าเป็นตำรวจนั้น ก็เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อจะหลอกเอารถไป ที่ผ่านมามีผู้ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลักษณะเดียวกับตนอีกหลายราย จึงรวมตัวมาเข้าแจ้งความกองปราบฯ เพื่อไม่ให้ไปก่อเหตุกับเหยื่อรายใหม่อีก

น.ส.ศศิวิมล จันทร์สว่าง อายุ 31 ปี ครูของโรงเรียนแห่งหนึ่ง กล่าวว่า ในคดีของตนนั้นเป็นการแจ้งเอาผิด นายกาย (นามสมมติ) อาชีพนายหน้ารับจำนำรถรายหนึ่งย่านดอนเมือง กทม. โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ตนนำรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ ไปจำนำกับนายกาย เป็นเงิน 50,000 บาท แต่เมื่อนำเงินไปไถ่ถอนรถกลับคืน กลับพบว่ารถของตนถูกนายกายนำไปจำนำต่อกับนายทุนเงินกู้แล้ว หากจะไถ่รถกลับคืนก็ต้องนำเงิน 1 แสนบาทให้นายกายไปไถ่คืน

ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมกับตน และเข้าแจ้งความไว้แล้วที่สน.ดอนเมือง แต่คดีไม่คืบหน้าเท่าที่ควร จึงตัดสินใจนำเรื่องมาร้องกองปราบเพื่อร้องขอความเป็นธรรม ให้ช่วยติดตามรถของตนกลับคืนมาด้วย

เบื้องต้น พนักงานสอบสวนได้แยกสอบปากคำผู้เสียหายแต่ละคดี ก่อรวบรวมส่งให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ