คนไทยผ่อนรถไม่ไหว 5 เดือนปล่อยยึด 9 หมื่นคัน
เมื่อเร็วๆนี้สำนักข่าวดัง prachachat รายงานว่า นายอนุชาติ ดีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มรถยึดมีทิศทางเพิ่มขึ้น แต่ไม่สูงแบบก้าวกระโดดถึง 1 ล้านคัน โดยหากดูตัวเลขในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 มียอดรถยึดไหลเข้ามาในลานประมูลแล้ว 8-9 หมื่นคัน ซึ่งหากเทียบตัวเลขไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 3-5%
ทั้งนี้ ประเมินว่าภาพรวมรถยึดจะเป็นการทยอยไหลเข้าลานประมูลหลังจากนี้ ตามลูกหนี้ที่หมดมาตรการพักชำระหนี้ทยอยครบตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2565 และไม่สามารถชำระหนี้ได้ และกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทำให้สถาบันการเงินทยอยยึดรถ
คาดว่าจะมียอดรถยึดอยู่ที่ราว 2-2.5 แสนคันในปีนี้ จากปกติยอดรถยึดจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7-1.8 แสนคัน และปรับลดลงในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 เหลือเฉลี่ย 1.4-1.5 แสนคัน
และหากดูตัวเลขหนี้เอ็นพีแอลเช่าซื้อทั้งระบบ คาดว่าจะมีทิศทางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เฉลี่ยในปีนี้จะวิ่งอยู่ราว 1.5-2.0% ส่วนหนึ่งที่เอ็นพีแอลไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้นมาจากสถาบันการเงินยังคงให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในการปรับโครงสร้างหนี้
เพราะหากปล่อยเป็นหนี้เสียสถาบันการเงินจะต้องมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งเป็นต้นทุนธนาคาร จึงเห็นการประคองลูกหนี้แทน รวมถึงการคัดกรองลูกค้าใหม่ โดยการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพื่อป้องกันหนี้เสีย
สำหรับในส่วนของบริษัท ยอดรถยึดในช่วง 5 เดือนแรกมียอดขายประมาณ 200 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 10-12% ซึ่งคาดว่าทั้งปียังคงเป็นไปตามเป้าหมาย 500 ล้านบาท หรือมียอดรถยึดเข้ามาประมูลราว 8-9 หมื่นคัน ถือเป็นอันดับ 2 ของตลาด
โดยปัจจุบันมีพันธมิตรราว 80-90 รายที่นำส่งรถยึดเข้าลานประมูล ถือว่าครอบคลุมตลาดมากกว่า 90% เช่น สถาบันการเงิน, Captive Finance, บริษัทรถเช่า, ประกันภัย รวมถึงบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อรองรับปริมาณรถยึดที่เพิ่มขึ้น อยู่ระหว่างการขยายพื้นที่โกดังเก็บรถเพิ่มเติมอีก 2 แห่งในพื้นที่ภาคอีสาน จากปัจจุบันมีอยู่ 27 แห่ง
ตัวเลข 1 ล้านคันน่าจะเป็นการคาดคะเนบนหนี้เสีย 1.5% จะมีรถกลายเป็นหนี้เสียทั้งหมด 1 ล้านคัน แต่ปัจจุบันยังไม่เกิด เพราะแบงก์เองก็เร่งปรับโครงสร้างหนี้ เพราะไม่อยากตั้งสำรอง และหากเศรษฐกิจดี ลูกค้าผ่อนได้ โอกาสจะเป็น 1 ล้านคันคงไม่เกิด เพราะเฉลี่ยสถานการณ์ปกติเฉลี่ยรถยึดอยู่ที่ 1.7-1.8 แสนคันเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูล prachachat