หุ้นไทยร่วงแรงมาก บล.พาย ชี้ผลนโยบายก้าวไกล กระทบกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่
ตลาดหุ้นไทยวันที่ 15 พ.ค.2566 ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,541.38 จุด ลบ -19.97 (-1.28%) โดยดัชนีหุ้นช่วงเปิดตลาดอยู่ในแดนบวกได้ไม่นาน และขึ้นไปทำไปทำจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,570.62 จุด หลังจากนั้นดัชนีอยู่ในแดนลบตลอดการซื้อขายและทำจุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1,536.82 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 68,382.81 ล้านบาท
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนขายลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล โดยยังต้องรอความชัดเจนหลังการเลือกตั้ง คาดว่ากว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้น่าจะใช้เวลาราว 2 เดือน และยังต้องติดตามการรับรองผลการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วยว่าจะทำให้คะแนนเสียงเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
ด้าน นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรง รับแรงกดดันขายหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ทั้ง GULF, GPSC, BGRIM เนื่องจากพรรคก้าวไกล ซึ่งชนะการเลือกตั้ง มีนโยบายหาเสียงชัดเจนจะลดค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยเฉพาะ “ค่าไฟแฟร์” ถูกและเป็นธรรมกับประชาชน ทำให้ตลาดกังวลว่าอาจเห็นการปรับลดค่า Ft ซึ่งจะกระทบต่อผลประกอบการกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่
นอกจากนี้ยังมีแรงขายในหุ้นกลุ่มสื่อสารและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเพื่อทำกำไร หลังจากราคาปรับขึ้นไปก่อนหน้าในช่วงก่อนการเลือกตั้งแล้ว รวมถึงขายหุ้นที่ผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาไม่ดี สร้างความผิดหวัง อย่าง CBG และกลุ่ม JMART
ส่วนนายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและนักกลยุทธ์ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า การที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงอาจเป็นระยะสั้น เนื่องจากเกิดความกังวลหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการชนะของพรรคก้าวไกล ซึ่งเกินความคาดหมาย และอาจสร้างความไม่แน่นอนในเรื่องการจัดตั้งทีมเศรษฐกิจ
นายกิจพณ กล่าวต่อว่า ถึงแม้นักลงทุนจะคาดหวังว่า 2 พรรคการเมืองใหญ่ก้าวไกลและเพื่อไทยได้คะแนนเลือกตั้งสูงที่สุด อยากให้พรรคเพื่อไทยเป็นทีมเศรษฐกิจหลัก และก้าวไกลเป็นทีมเสริม เนื่องจากยังเป็นหน้าใหม่ในฐานะผู้นำการเมือง ซึ่งอาจสร้างความกังวล อีกทั้งการอภิปรายของพรรคก้าวไกลในอดีตจะหยุดเอื้อทุนใหญ่-ทุนสัมปทาน แต่กระบวนการปฏิรูปอุตสาหกรรมต่างๆ อาจไม่เร็ว
นายกิจพณ กล่าวอีกว่า แนวโน้มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากพรรครัฐบาลอาจยังไม่เห็น แต่การเติบโตของหุ้นที่จะเกิดได้ดีด้วยตัวเองจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มค้าปลีก, ท่องเที่ยว, การบริโภค พร้อมให้กรอบดัชนีหุ้นที่แนวรับ 1,540 จุด แนวต้าน 1,570-1,580 จุด