หนุ่มหัวร้อนเปิดใจ บุกพังบ้านสาวพิการ ลั่นไม่ใช่ขาใหญ่แค่ใจร้อนไม่ยอมใคร
จากกรณี น.ส.สุภาภรณ์ อายุ 38 ปี หญิงพิการขาขวาขาด พร้อมด้วยน้องซัน ลูกชายอายุ 7 ขวบ ซึ่งเป็นเด็กพิเศษ(ออทิสติก) เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ต.หญิง พฤฒมน เลิศอาวาส สารวัตรสอบสวน สภ.ปากเกร็ด ถูกขาใหญ่อาศัยอยู่ภายในซอยบ้านเดียวกันทราบชื่อคือนายป๊อป คลองเกลือ อายุ 40 ปี กับลูกชายวัย 10 ขวบ บุกมาที่บ้านและใช้เท้าถีบประตูรั้วหน้าบ้านจนพัง นอกจากนี้ยังทำลายทรัพย์สิน-สิ่งของต่างๆภายในบ้านทำให้ได้รับความเสียหาย อีกทั้งยังได้พูดจาข่มขู่ลูกชายของตนว่า หากออกจากบ้านจะโดนทำร้าย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 6 เม.ย. 66 ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่งภายในซอย แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 37 ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ 8 เม.ษ. 2566 ทีมข่าวลงพื้นที่จุดเกิดเหตุพบบ้านหลังดังกล่าวเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น เลขที่ 9/253 ม.2 ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยมี น.ส.สุภาภรณ์ อายุ 38 ปี และลูกอีก 2 คน อาศัยอยู่ในบ้าน ขณะเดียวกันพบเศษไม้ที่ทำเป็นรั้วบ้าน แตกหักหักกระจัดกระจายเต็มพื้น นอกจากนี้ประตูเหล็กดัดภายในบ้านก็หลุดพังออกจากประตูอีกด้วย
สอบถาม ลุงโต (ขอสงวนชื่อ-นามสกุล) ชาวบ้านในละแวกดังกล่าว เปิดเผยว่า คนก่อเหตุเขาเป็นขาใหญ่ในหมู่บ้าน เวลาอยู่บ้านเสียงจะดังมาก ก่อนหน้านี้เขาเคยเอามีดไล่ฟันคนในซอยมาแล้ว ตอนนี้ตนต้องเลี้ยงหมาไว้เฝ้าบ้าน อย่างน้อยก็คอยเห่าส่งเสียงเวลาที่มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ตอนนี้ตนอายุ 70 ปีแล้ว อยากอยู่แบบสงบ เวลาเขาเสียงดังก็จะเข้าบ้านเลย ปิดล็อคประตูทุกบาน
ซึ่งบ้านตนต้องล็อค 2 ชั้น เพราะห่วงในเรื่องความปลอดภัยของครอบครัว ต้องอยู่กันแบบหวาดระแวง เมื่อก่อนเขาติดยาและทำร้ายทุบตีพ่อแม่ บ้านหลังที่เขาอยู่เป็นบ้านของญาติเขา ถ้าไม่ให้เขาอยู่เขาก็อาละวาดลงมือทำร้าย ซึ่งญาติก็ไม่กล้าพูดอะไร ลองไปสอบถามดูชาวบ้านแถวนี้ดูว่าเขาเป็นคนยังไง ตนพูดมากไปก็ไม่ดี เดี๋ยวจะอยู่ลำบาก
ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านของนายเอกชัย หรือนายป๊อบ (สงวนนามสกุล)อายุ 43 ปี ผู้ก่อเหตุ อาศัยอยู่ภายในซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 37 ซอย 2 ซึ่งห่างจากบ้านจากของ น.ส.สุภาภรณ์ (ผู้เสียหาย) เพียง 2 ซอยเท่านั้น
นายเอกชัย เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า วันเกิดเหตุลูกชายของตนจะวิ่งเข้าไปในบ้านของคู่กรณี ตนเลยเข้าไปห้าม ตนไปตามลูกและอยากเจรจากับคู่กรณีที่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครมาคุยกับตน ยอมรับว่าประตูรั้วบ้านที่พังเสียหายเป็นฝีมือของลูกชาย ซึ่งตนไปทีหลังและไปห้ามลูกจริงๆ ยืนยันว่าตนเองไม่ได้เป็นคนพังประตู เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคาดว่าลูกชายของตนเองน่าจะโมโห ปกติลูกชายของคู่กรณีจะทะเลาะกับลูกชายของตนเป็นประจำ ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากที่ตนไปตามลูกและกลับมาถึงบ้าน ทางคู่กรณีก็ตามมา 2 คน ตนเห็นท่าไม่ดีจึงพกมีดเหน็บเอว เพื่อเอาไว้ป้องกันตัว หลังจากพูดคุยกันสักพักก็แยกย้ายกันไป อันที่จริงแค่ให้เจ้าของบ้านเช่ามาคุยคนเดียวก็ได้ ไม่จำเป็นต้องยกพวกมาบ้านตนขนาดนี้ก็ได้ เพราะมันทำให้ตนต้องคอยระแวงและต้องระมัดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา ส่วนเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้น ตนพร้อมที่จะชดใช้ภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้
นายเอกชัย กล่าวต่ออีกว่า เรื่องที่คู่กรณีบอกว่าตนบุกรุก ตนยืนยันที่จะปฏิเสธพร้อมแจ้งความกลับ รวมถึงจะหาทนายความต่อสู้คดี เพราะตนไม่ได้บุกรุกเข้าไปในบ้านตามที่คู่กรณีกล่าวอ้าง มีลูกกับหลานเป็นพยานได้ เพราะคนที่เข้าไปพังประตูบ้านคือลูกชายของตน หากแน่จริงก็งัดหลักฐานกล้องวงจรปิดมาดู จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตนไม่ใช่ขาใหญ่ในซอย แต่ถ้าใครมาแตะหรือมาหาเรื่องก็จะซัดให้หมอบ คนในซอยรู้จักกับตนทุกคน แต่ขอบอกก่อนว่า ถึงตนจะเป็นคนใจร้อน แต่ก็ไม่เคยหาเรื่องใครก่อน
ยอมรับว่าเมื่อก่อนเคยมีประวัติ มีคดีที่ไม่ดีเกิดขึ้นในพื้นที่ สภ.ปากเกร็ด และเคยจำคุกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หลังจากพ้นโทษออกมาตนก็ทำงานสุจริต กลับเนื้อกลับตัว ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่เสพยาเสพติด เพียงแต่สูบกัญชาเท่านั้นเพราะตอนนี้กัญชาเสรี สุดท้ายตนยอมรับว่าตนเป็นคนใจร้อน ใครก็มาแตะลูกของตนไม่ได้ ตนเป็นคนไม่ยอมคน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยินดีจะรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด ตนคอยสั่งสอนลูกหลานอยู่เสมอว่าอย่าไปรังแกใคร เรื่องนี้ถ้ามีหลักฐาน ก็ดำเนินคดีตามกฎหมายได้เลย
ส่วนเรื่องที่ลูกชายของตนไปทำร้ายร่างกายน้องซันหรือไม่ ตนก็ยังไม่รู้ว่าลูกของตนไปเหยียบหน้าลูกเขาจริงมั้ย หรือลูกชายอาจจะมีนิสัยใจคอ หรือมีสัญชาตญาณของตนอยู่ในตัวก็ได้ ถ้าทำจริงตนก็ต้องตักเตือนและตีสั่งสอนเพื่อไม่ให้ไปทำกับใครอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตนไม่เห็นเหตุการณ์ ก็ต้องสอบถามลูกอย่างละเอียดอีกครั้ง
สาโรจน์ สว่างศรี ผู้สื่อข่าวจังหวัดนนทบุรี
เรียบเรียง สยามนิวส์