ย้อนฟัง หนุ่ม กรรชัย เล่าตั้งแต่ทำ โหนกระแส ต้องเสียคนที่ตนเองรักไปเยอะ

ย้อนฟัง หนุ่ม กรรชัย เล่าตั้งแต่ทำ โหนกระแส ต้องเสียคนที่ตนเองรักไปเยอะ

กลายเป็นพิธีกรอันดับต้น ๆ ของวงการไปแล้ว สำหรับ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย กับบทบาทจากรายการชื่อดัง โหนกระแส ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็เพิ่งคว้ารางวัลบนเวที Thailand Social Awards ครั้งที่ 11 ในกลุ่มรางวัล Best Creator Performance on Social Media สาขา MC and Reporter เป็นเครื่องการันตีถึงความนิยม และความชื่นชอบของผู้คนได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ หนุ่ม กรรชัย เคยเปิดเผยอีกแง่หนุ่มหนึ่งผ่านรายการ เล่าก็เล่าวะ พูดคุยกับ น้าเน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ พร้อมเล่าว่า เรื่องนี้ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน คือ หลังจากที่ทำรายการโหนกระแส รู้สึกว่าเสียคนที่รักไปเยอะ คนที่เรารักเขา และเขาก็อาจจะรักเรา แต่ด้วยความที่เป็นหน้าที่เราก็ต้องทำ

ขออนุญาตเอ่ยชื่อ เช่น กาละแมร์ เราสนิทกันมาตั้งนาน ทำรายการอะไรมาด้วยกัน จนวันหนึ่งมันเกิดวิกฤตครั้งนั้นกับน้องกาละแมร์ ก็เลือกที่จะมาคุยในรายการ ในบริบทที่ทำงาน ก็ต้องถามตรง ๆ ว่า แมร์รู้ไหมว่าเรื่องนี้ มันแบบนี้

มันอาจจะเหมือนเราไปต่อว่า หรือใช้คำว่าฟาด แต่จริง ๆ แล้วในความรู้สึกผม ผมแค่ทำหน้าที่ถามแทนประชาชนเท่านั้นเอง แล้วก็เชื่อด้วยว่าแมร์ไม่ได้โกรธ เพราะมันคือบริบทของการทำงาน

แต่เชื่อหรือไม่ว่าตั้งแต่วันนั้น เราไม่เคยคุยกันอีกเลย มันเป็นเรื่องที่ผมค้างคาใจมาก อยากจะยกหูโทร. หา แต่ก็ไม่กล้า ไม่รู้ว่าน้องรู้สึกยังไงกับผมบ้าง มันเป็นสิ่งที่ไม่สบายใจเลย อีกเรื่องหนึ่งคือผมต้องไปทำหน้าที่ในรายการ 3 แซ่บ แทนน้องอีก

ทางด้าน น้าเน็ก ได้เล่าบ้างว่า ตนก็ไม่ได้คุยกับแมร์นานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่แมร์เลิกทำรายการ Take Me Out ตนพูดในหลายที่ว่า พิธีกรหญิงที่ยืนข้างกายมาทั้งชีวิต แม้จะเคยผ่านมานับร้อยรายการ แต่แมร์คือคู่ที่เล่นเข้ากันที่สุด แต่พอเขาถอนตัวไป ก็ไม่ได้คุยกันเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันนะ

หนุ่ม กรรชัย เล่าอีกว่า เมื่อก่อนไปที่ไหน เจอน้อง ๆ ในวงการก็คุยกันได้ตามปกติ แต่พอวันนี้เมื่อผมเป็นพิธีกร โหนกระแส ผมเดินเข้าไปแล้วรู้สึกเลยว่า การปฏิบัติตัวที่มีกับผมมันลดน้อยลงไป เหมือนกับว่า ระแวงว่าตนจะเอาเรื่องเขาไปออก ซึ่งจริง ๆ ผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ยอมรับว่ารู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้เหมือนกัน

จริง ๆ ผมก็คือผมคนเดิม เพียงแต่เวลาที่ต้องทำงานมันก็คือหน้าที่ พูดตรง ๆ คือความเป็นกลางมันแทบจะไม่มีหรอก แต่ความเป็นธรรมมันต้องมี บางทีต้องให้ความเป็นธรรมกับสังคมด้วยเหมือนกัน

ส่วนเมื่อทำรายการจากเริ่มต้นมาจนถึงตอนนี้ รู้สึกว่ามันเกิดคาดไปมาก ตอนแรกคิดว่ามันคงจะช่วยสังคมได้ไม่มาก เพราะตนก็เป็นคนตัวเล็ก ๆ วันหนึ่งมาอยู่ในจุดที่คนคาดหวังว่าเราจะช่วยเขาได้

อีกเรื่องหนึ่งอยากจะบอก คือ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยทำข่าวมาก่อน แต่เมื่อได้มาทำ คือ เราต้องศรัทธากับมันก่อน จึงอยากจะแชร์เรื่องนี้ถึงคนที่คิดว่า ทำไมเราต้องศรัทธากับสิ่งที่ไม่เคยทำ ผมมองว่าความศรัทธา มันคือบ่อเกิดของความสำเร็จ แต่ถ้าเราคิดแค่ว่าเราไม่มีอะไรทำ ทำ ๆ ไปก่อนแล้วกัน การคิดแบบนี้บอกได้เลยว่าไม่มีทางประสบความสำเร็จในชีวิต

เรียบเรียง siamnews

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ