ลูกหนัง ศีตลา เปิดใจครั้งแรก ปม แบนลูกหนัง ถูกเพื่อนในวงการขอเลิกคบ

ลูกหนัง ศีตลา เปิดใจครั้งแรก ปม แบนลูกหนัง ถูกเพื่อนในวงการขอเลิกคบ

กลับประเทศไทยมาแล้ว สำหรับ ลูกหนัง ศีตลา วงษ์กระจ่าง ลูกสาวของพระเอกผู้ล่วงลับ ตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ที่ได้ไปเดบิวต์ในนามสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป K-POP วง H1-KEY

คลิป

และหลังจากการเปิดตัวของวงกลับ เจอกระแสดราม่า แบนลูกหนัง จนเป็นสาเหตุถอนตัว เพราะไม่อยากเป็นปัญหาให้ใคร และจากประเด็นดังกล่าว ก่อนหน้านี้ทาง ค่ายต้นสังกัดของ ลูกหนัง ได้ออกแถลงการณ์ถึงประเด็นดังกล่าว ยันไม่ปลด ลูกหนัง ศีตลาออกจากวง H1-KEY

จนกระทั่ง เมื่อประมาณเดือน พฤษภาคม ทางต้นสังกัดก็ได้ออกมาแจง ว่า ลูกหนัง ศีตลา ขอถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกวง H1-KEY หลังเดบิวต์เพียง 5 เดือน ด้วยสถานการ์ส่วนตัว โดยทางค่ายได้พูดคุยกับศิลปินและสมาชิกมาเป็นเวลานาน จึงได้ข้อสรุปนี้หลังจากการตัดสินใจ พร้อมขอให้แฟนๆเป็นกำลังใจกับศีตลาต่อไปในเส้นทางข้างหน้า รวมถึงสมาชิกวง H1-KEY

และหลังจากที่ออกจากวงเธอได้เดินทางกลับมาที่ประเทศไทย โดยคุณแม่อย่า งเปิ้ล หัทยา ก็ได้เปิดเผยว่า ลูกได้ กลับมาพักที่ไทยก่อนไปลุยงานที่เกาหลี จนล่าสุด ลูกหนัง ศีตลา ออกมาพูดเปิดใจครั้งแรก

โดยเธอนั้นเผยว่า เราเป็นเด็กฝึกธรรมดา ซึ่งเด็กฝึกธรรมดากับเด็กฝึกที่เตรียมเดบิวต์จะต่างกัน เด็กฝึกธรรมดาเขาจะฝึกไปเรื่อยๆ โดยเราไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เดบิวต์ ความซีเรียสต่างกัน

พอรู้ก็ซีเรียสมากขึ้น จากที่เคยซ้อมสนุกๆ กลายเป็น ซ้อมทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ พอใกล้จะเดบิวต์ก็จะไม่มีวันหยุด ตนรู้สึกเหนื่อย แล้วสิ่งที่ช็อกมากก็คือ การควบคุมการกิน หรือน้ำหนัก เพราะปกติเป็นคนชอบกิน แต่เขาให้เวลา 2 อาทิตย์ กินแค่พริกหยวก และหมั่นโถ ทางค่ายก็ถาม ทำได้ไหม น้องทุกคนตอบว่าทำได้ เราก็ทำได้

และ น้ำหนักก็ลดตามเกณฑ์ที่เขาทำไว้ แต่สองอาทิตย์นั้นก็เหนื่อยมาก เราทำด้วยความเข้าใจ ค่ายเขาต้องการแบบนี้ เราก็เข้าใจ เขาเชื่อในตัวเรา เราเชื่อในตัวค่าย เราก็ไม่มีปัญหา

และระหว่างเดบิวต์ ร้องไห้บ่อยมาก แต่จะไม่ให้ใครเห็นว่าเราอ่อนแอ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ แทบจะไม่โทรไปบอก เพราะไม่อยากทำให้เขาเป็นห่วง ช่วงก่อนจะเดบิวต์ มีหลายความรู้สึกมาก เป้าหมายที่เรามองมา ด้วยกันกำลังจะเกิดขึ้น

แต่เมื่อทางค่ายประกาศเดบิวต์ ก็เกิดกระแส แบนลูกหนัง ซึ่งเริ่มจากค่ายวางคอนเซ็ปต์ไว้ ให้กระดาษมา เขียนข้อมูลตัวเอง ว่าเราชื่ออะไร ส่วนสูงเท่าไหร่ ใครคือแรงบันดาลใจ คำตอบของเราก็คือคุณพ่อ ซึ่งก็หนีไม่ได้ที่เขาจะไปขุดว่าน้องคนนี้คือใคร

และคงไปโฟกัสที่คำตอบของเรา เลยเกิดประเด็นดรามาขึ้นมา ตอนนั้นเราไม่ทราบ เพราะมือถือไม่ได้อยู่กับตัว วันที่ค่ายประกาศออกไป เราน่าจะซ้อมถึงตีสาม มือถือก็ฝากค่ายไปเลย เขาก็คิดว่าเราไม่ควรเล่นมือถือ ก็หลับไป จนตื่นขึ้นมา ค่ายเรียกเราคนเดียวในวงไปคุย เขาบอกว่าแม่โทรมาร้อยสาย ให้คุยกับคุณแม่

ครั้งแรกที่คุยคุณแม่ร้องไห้ แม่ก็อธิบายว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น และพอเรารู้เรื่องนี้ เราก็เข้าไปดูในทวิตเตอร์เข้าไปอ่านทุกอย่างที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าช็อคเหมือนกัน แต่ก็พยายามทำความเข้าใจ ว่ามันมีเหตุผลที่เป็นแบบนี้

ก่อนอื่นเราต้องรับผลให้ได้สิ่งที่ตัวเองทำมันมีผลอยู่แล้วไม่ว่าจะบวกหรือลบ เข้าใจว่าคนเรามีสิทธ์ที่จะคิดแบบนั้น อดีตที่แก้ไม่ได้ สิ่งที่เราทำในอดีต ทำให้คนกลุ่มไม่น้อยได้รับผลกระทบ

การไปร่วมชุมนุม ณ วันนั้น ความรู้ ความเข้าใจของเรา ที่ไปเพราะเชื่อว่า อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เราคิดแค่นั้นจริงๆ เราไม่พูดว่าเราไปด้วยเด็ก เราไปด้วยความที่เราเชื่อแบบนั้น

และคนที่ไปตรงนั้นก็มีจุดประสงค์เดียวกันคืออยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แต่ไม่ได้คิดว่าในอนาคตจะเป็นแบบนี้ หรือผลที่ตามมา ที่เราไปทำตรงนั้นจะทำให้เราเสียใจ

จากที่ เมื่อก่อนไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆพอกลับมาคิดทบทวน จนวันนึงเกิดเอฟเฟกต์กับคนรอบข้าง เป็นสิ่งที่เราเสียใจมากที่สุด หลังเกิดกระแสแบนไปแล้ว เขาบอกว่าเขามีภาระที่เขาต้องรับผิดชอบ

เรารู้สึกว่าเราเป็นคนไม่ดี เราทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ไปเป็นภาระคนอื่น บางคนขออันฟอลโลว์ไม่อยากมีปัญหากับคนในสังคม ไม่อยากมีปัญหากับสิ่งที่เรามี หรือบางคนขอลบรูปที่ถ่ายด้วยกัน

เพราะโดนคนมาพูดไม่ดีว่าเป็นเพื่อนกัน บางคนโดนแคนเซิลงานเพราะเรา หรือถึงขั้นบางคนไปทะเลาะกับคนที่บ้านเขา จนเรารู้สึกว่าทำไมเราเป็นคนแบบนั้น ทำไมเราไปเป็นภาระเขาขนาดนั้น จนเราคิดว่าเราเป็นปัญหา พอเราคิดแบบนั้น เริ่มไม่รักตัวเอง ความมั่นใจเริ่มลดลง ความรู้สึกดีกับตัวเองเริ่มลดลง จนเราคิดว่าเราเป็นคนไม่ดี

ณ วันนี้ คนกลุ่มไม่น้อยเขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เราทำ ดังนั้นเราต้องขอโทษจริงๆ เรื่องด่าเรื่องแบนมันเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว มันต้องมีคนที่ชอบและไม่ชอบเรา แต่เมื่อการแอ็กชั่นของเราทำให้ใครรู้สึกไม่ดี

เรารู้สึกเสียใจ ความรู้สึกตอนตัดสินใจออกจากวง หลังจากที่ดราม่าเกิดขึ้น ปฏิเสธยากมากที่จะไม่เกิดเอฟเฟกต์กับคนในวง บางคนฝึกนานกว่าเรา ไม่อยากให้เขาต้องมาได้รับผลกระทบจากเรื่องนึงที่เราทำ ทั้งที่เขาไม่ทราบอะไรเลย แม่ก็บอกว่าอย่าคิดแบบนั้น แต่มันปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

เราคิดว่าเราเป็นปัญหาในวง ถึงน้องจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เอฟเฟคจากเรามันไปกระทบกับทั้งวง ทำให้น้องที่เขาไม่รู้เรื่อง ต้องมารับแรงกดดันจากทางค่าย หรือคอมเมนต์ที่เขาเห็น

เราก็คิดว่าเราอยากเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้น ปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นแค่เราคนเดียวจริงๆ แล้วไปเอฟเฟกต์กับน้อง 3 คนที่เขาไม่รู้เรื่อง ทางค่ายด้วย ครอบครัวน้องด้วย ครอบครัวเราด้วย

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ