หนูน้อย  8 ขวบป่วย 1 ในล้าน พ่อแม่เตรียมตัวก่อนลูกจะจากไปอย่างสงบ

หนูน้อย 8 ขวบป่วย 1 ในล้าน พ่อแม่เตรียมตัวก่อนลูกจะจากไปอย่างสงบ

เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวที่มีการส่งต่อกันกว่า 2 หมื่นครั้งสำหรับเรื่องราวของน้องน้ำแข็งหนูน้อยวัย 8 ขวบ ที่เผชิญกับโรคมะเร็งกระดู ก ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ จนสุดท้ายน้องไม่ไหว โดยเฟสบุ๊ค พิมพ์ธิฌาย์ ฤทธาธนาเศรษฐา ได้ลงเรื่องราวของน้องน้ำแข็งระบุว่า

ลงรูปย้อนหลังวันรดน้ำศ_ น้องไปแบบสดใส หน้าตายิ้มแย้ม (อมยิ้มโชว์ฟัน 2 ซี่ด้วย ป๊าเพิ่งแปรงฟันให้โชว์ได้ค่ะ) เป็นการจากไปที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ สิ่งที่ทางครอบครัวและตัวน้องได้ทำก่อนน้องตายจริง คือการซ้อมเตรียมตัวตายค่ะ ซ้อมบ่อย ก่อนวันตายจริง 1 วัน ลิ้นยังไม่แข็ง ลิ้นยังพูดปกติ(แต่การหายใจของน้องก็เหนื่อยขึ้นมากแล้ว) แม่น้องบอกว่า "น้ำแข็งดูร่างกายนี้นะ เห็นไหม เราสั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้ สั่งให้มันหายดีก็ไม่ได้ สั่งให้มันห้ามเจ็บห้ามปวดก็ไม่ได้ ร่างกายนี้เรายืมโลกมาใช้ชั่วคราว ถึงคราวที่ร่างกายนี้มันไม่ไหวแล้วจริงๆ ทิ้งมันไปนะลูก ทิ้งมันไป มันเป็นตัวสร้างทุกข์ ไม่ต้องไปรั้งมันไว้ ตั้งจิตตั้งใจให้ตัวหนูมีอิสระจากร่างกายที่สร้างทุกข์เสียที "

น้ำแข็ง แซวแม่กลับว่า ม้าซ้อมตา_แล้วถ้าเกิดไม่ตา_อะ ไม่ซ้อมฟรีเหรอ ม้าตอบ ไม่ตา_ไม่เป็นไร แต่ถ้าตา_เราซ้อมตา_เผื่อไว้แล้ว จะได้ไม่ขาดทุน (น้ำแข็งก็โอเค เข้าใจแต่โดยดี) ที่สำคัญหากร่างกายทรุดลงไปเรื่อยๆ มาซ้อมตา_ตอนนั้น ม้ากลัวหนูจะเริ่มฟังไม่รู้เรื่อง รีบซ้อมตา_ตอนที่ยังมีเรี่ยวแรง มีสติที่มากพอก่อนนะคะ เพราะจิตสุดท้ายสำคัญ ยามหนูจะต้องจากไปม้าอยากให้หนูไม่ติดอะไร ไปแบบจิตของผู้ที่เห็นธรรมะ เห็นความไม่ใช่ของเรา เห็นว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับ ตั้งอยู่ชั่วคราว อย่าไปโศกเศร้ากับสิ่งที่ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้ ก่อนหน้าแม่ลูกเคยคุยว่าสมมุติถ้าหนูต้องตา_หนูจะเสียใจอะไรบ้างไหม (แม่ของน้องมองว่าจำเป็นต้องคุยเพราะเห็นความสำคัญว่าคนเราก่อนจะไป จิตใจต้องหมดห่วงก่อน)

น้ำแข็ง แซวแม่กลับว่า ม้าซ้อมตายแล้วถ้าเกิดไม่ตายอะ ไม่ซ้อมฟรีเหรอ ?? ม้าตอบ ไม่ตา_ไม่เป็นไร แต่ถ้าตา_เราซ้อมตา_เผื่อไว้แล้ว จะได้ไม่ขาดทุน (น้ำแข็งก็โอเค เข้าใจแต่โดยดี) ที่สำคัญหากร่างกายทรุดลงไปเรื่อยๆ มาซ้อมตายตอนนั้น ม้ากลัวหนูจะเริ่มฟังไม่รู้เรื่อง รีบซ้อมตา_ตอนที่ยังมีเรี่ยวแรง มีสติที่มากพอก่อนนะคะ เพราะจิตสุดท้ายสำคัญ ยามหนูจะต้องจากไปม้าอยากให้หนูไม่ติดอะไร ไปแบบจิตของผู้ที่เห็นธรรมะ เห็นความไม่ใช่ของเรา เห็นว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับ ตั้งอยู่ชั่วคราว อย่าไปโศกเศร้ากับสิ่งที่ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้ ก่อนหน้าแม่ลูกเคยคุยว่าสมมุติถ้าหนูต้องตา_หนูจะเสียใจอะไรบ้างไหม (แม่ของน้องมองว่าจำเป็นต้องคุยเพราะเห็นความสำคัญว่าคนเราก่อนจะไป จิตใจต้องหมดห่วงก่อน)

จำคำม๊าไว้นะ ม๊าดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วงม๊าค่ะ และวันนี้ม๊าก็ทำได้จริงๆ ไม่ได้โกหกหนู เพราะหนูไปสบายแล้ว หนูไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเจ็บแล้ว ม๊าควรต้องยินดีๆๆ เพราะความสุขของหนู คือความสุขของม๊าค่ะ รักหนูน้ำแข็งเหมือนเดิม แม้ม้าจะไม่เห็นหนู แต่ม้ากลับรู้สึกว่าหนูยังอยู่ข้างๆม้า ปกติม้าจะป้อนข้าวหนู ทำอาหารให้หนูทุกวัน ในการดูแลหนู วันนี้ม้าก็ยังดูแลหนูเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนจากการทำกับข้าวป้อนข้าว มาเป็นการนั่งสมาธิให้หนูแทน และม้าจะดูแลหนูแบบนี้ทุกวันจนม๊าตา_ค่ะ เพื่อหวังว่าอานิสงส์แห่งการเจริญสติ เพื่อให้เห็นอริยสัจ 4 จะส่งผลโอบอุ้มดวงจิตของหนูในทุกๆวัน

หน้าที่ๆทำต่อมาคือ ค่อยดึงพ่อน้องน้ำแข็งให้ไม่โศกเศร้า ต้องปรับความคิด พร้อมบอกลูกไปดี เราควรยินดี เรามีโอกาสทำหน้าที่พ่อแม่อย่างเต็มที่วินาทีสุดท้ายของลูก การที่เราเศร้าเพราะคิดถึงลูก อันนี้เป็นเพราะความอยากของเรา คือเราอยากให้ลูกอยู่ อันนั้นเป็นปัญหาของตัวเรา ไม่ใช่ปัญหาของลูก เพราะลูกไปสบายแล้ว หากลูกมองมาเราเอาแต่โศกเศร้าแล้วพลังจิตที่โศกเศร้าของเราจะไม่ส่งถึงลูกเหรอ ดังนั้นรีบดึงสติให้ไว ว่าความโศกเศร้าก็เป็นของที่พร้อมจะมากระแทกเราอย่างหนักหน่วงในช่วงแรก เราไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจให้จมอยู่กับความเศร้า มันมีแต่โทษ ไม่มีประโยชน์ ให้เศร้า 3 ปีเลยก็คืนคนตายกลับมาไม่ได้ แต่ควรรีบเจริญสติเห็นความเศร้าเป็นของชั่วคราว เกิดดับได้ เปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นการพัฒนาจิตใจของเราแล้วให้อานิสงส์ถึงแก่ตัวลูก ถึงเรียกว่าเป็นพ่อแม่ที่พยายามทำแต่สิ่งที่ดีๆให้ลูก ขอจบการสนทนาค่ะ

ขอบคุณ เรื่องราวจาก พิมพ์ธิฌาย์ ฤทธาธนาเศรษฐา

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ