ลุงเข่าแทบทรุด เงินในบัญชี 4 ล้าน เหลือ 29 สตางค์

ลุงเข่าแทบทรุด เงินในบัญชี 4 ล้าน เหลือ 29 สตางค์

จากกรณีมีการแชร์เรื่องราวบนโซเชียลเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีผู้เสียหายคนหนึ่งถูกหลอกเงินไปจำนวนกว่า 4 ล้านบาท โดยแม้จะไหวตัวทันแล้วขอให้ธนาคารอายัดบัญชีทันที แต่ธนาคารกลับแจ้งว่าผู้เสียหายต้องแจ้งความก่อน วันที่ 18 พ.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมาพบ นายเอ๋ (นามสมมติ) อายุ 49 ปี ผู้เสียหาย ขณะนี้ได้ทำการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คูคต จฃ.ปทุมธานี และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) แล้ว นายเอ๋ (นามสมมติ) บอกว่า

เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 13.21 น. ได้มีเบอร์แปลก หมายเลข +66622374566 โทรมาหาตน อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทยประจำจังหวัดชลบุรี พร้อมบอกตนว่า ตนมีพัสดุผิดกฎหมายตกค้างอยู่ที่จังหวัดชลบุรี จ่าหน้าส่งไปยังประเทศจีน ได้แก่ พาสปอร์ต 12 เล่ม บัตรเอทีเอ็ม 9 ใบ และเสื้อผ้า 5 ตัว จึงขอให้ตนเดินทางไปยัง สภ.แหลมฉบัง เพื่อชี้แจง

แต่เนื่องจากตนไม่สะดวก อีกทั้งยังมึนงง เพราะตนไม่เคยส่งพัสดุจากชลบุรี อีกฝ่ายจึงโอนสายของตนไปหาอีกบุคคล ซึ่งอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แหลมฉบัง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจปลอมได้ขอแอดไลน์ตน จากนั้นไลน์ปลอม ซึ่งใช้ชื่อว่า สภ.แหลมฉบัง ก็ได้ทักตนมา พร้อมวิดีโอคอลหาตน ในเวลา 15.20 น. แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้วิดีโอคอลมาหาตน อีกฝ่ายแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ อ้างเป็นผู้กำกับ สภ.แหลมฉบัง ได้บอกกับตนว่าชื่อของตนพัวพันการฟอกเงิน อีกฝ่ายขอให้ตนเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวแล้วจะดำเนินการช่วยเหลือ เช่น ทรัพย์สิน เงินเก็บ บัญชีธนาคาร ซึ่งหากตนไม่ยอมบอก อีกฝ่ายก็จะขู่ว่าจะทำการอายัดเงินในบัญชีของตนทั้งหมด อีกฝ่ายบอกให้ตนโอนเงินในบัญชีที่มีการผูกกับแอปพลิเคชันธนาคารไปให้ เพื่อทำการตรวจสอบ

โดยตนเริ่มรู้สึกเอะใจ เนื่องจากเงินที่โอนเงินไปนั้นเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของตน แต่อีกฝ่ายบอกว่าจะใช้เวลาประมาณ 40 นาที แล้วจะโอนคืนกลับมา ตนจึงโอนเงินไปจำนวน 4,043,683 บาท ซึ่งเป็นเงินทั้งหมดในบัญชีของตน ไปยังบัญชีของนายบริบูรณ์ คำวิเศษ ในเวลา 16.11 น. ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจปลอมอ้างว่าเป็นบัญชีของฝ่ายตรวจสอบทรัพย์สิน ในเวลา 16.20 น. ตนได้เดินเข้าไปยังธนาคาร พร้อมเปิดลำโพงโทรศัพท์มือถือ ธนาคารจึงบอกว่าปลายสายของตนเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และตรวจสอบพบว่าเงินที่ตนโอนไปนั้น ถูกส่งต่อไปยังหลากหลายบัญชี โดยแบ่งเงินออกเป็นก้อนเล็ก ๆ หลักหมื่นและหลักแสน ตนบอกให้ธนาคารรีบอายัดบัญชีของตน แต่ธนาคารแจ้งว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากต้องมีใบแจ้งความมาแสดง ซึ่งตนติดใจระบบของธนาคาร เนื่องจากตนเป็นเจ้าของเงิน/บัญชี มีบัตรประชาชนยืนยันตัวตน แต่ธนาคารไม่ให้ความช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่เงินของตนสูญหายไปต่อหน้า

จากนั้นตนก็ได้เดินทางไปยัง สภ.คูคต เพื่อแจ้งความ ในเวลา 21.06 น. วันที่ 13 พ.ค. และเดินทางไปแจ้งกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกตนว่าใช้เวลาค่อนข้างนาน และอาจได้เงินคืนไม่เต็มจำนวน ยิ่งหากเงินถูกส่งออกนอกประเทศ จะตามเงินกลับคืนมาได้ยาก ขณะนี้ตนมีความหวังที่จะได้เงินคืนเพียง 1% เพราะจากข่าวต่าง ๆ ยังไม่เคยมีใครได้เงินคืน เงินจำนวน 4 ล้านบาท เป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของตน เป็นเงินจากอาชีพขายลอตเตอรี่ ขายยาง และขายที่ดิน โดยตนตั้งใจจะเก็บไว้เป็นทุนประกอบอาชีพและนำไปเป็นทุนการศึกษาให้ลูกสาววัย 21 ปี และ 18 ปี แต่ขณะนี้ตนไม่เหลือเงินดังกล่าวแล้ว

ตนมีภาระต้องผ่อนบ้านเดือนละ 28,000 บาท โดยต้องผ่อนอีก 15 ปี อีกทั้งตนต้องมีเงินทุนเดือนละ 300,000 บาท ในการซื้อลอตเตอรี่มาขาย และค่าใช้จ่ายภายในบ้านอีกเดือนละประมาณ 10,000 บาท ทั้งนี้ ขณะคุยกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อีกฝ่ายจะตัดสายบ่อย อ้างว่าสายหลุด อ้างว่าตนสัญญาณไม่ดี ทั้ง ๆ ที่ตนมีสัญญาณชัดเจน อีกทั้งอีกฝ่ายยังมีข้อมูลส่วนตัวของตน ทั้งที่อยู่ เบอร์โทร เลขบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ซึ่งคาดว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็นกลยุทธที่ทำให้เหยื่อกระวนกระวายและหลงเชื่อ ตนประกอบอาชีพสุจริต

เมื่อเจอเหตุการณ์นี้กับตัวเอง ตนรู้สึกสงสารเหยื่อรายอื่น ๆ โดยตนติดตามข่าวแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ตลอด แต่ไม่คาดคิดว่าจะพบเจอกับตัวเอง ซึ่งเมื่อเจอกับตัวเอง ตนตั้งตัวไม่ทัน ตนถูกขู่ว่าหากไม่ให้ความร่วมมือ ตนจะถูกอายัดเงิน ซึ่งตนเป็นห่วงครอบครัวของตน ตนจึงถูกหลอก วันนี้ตนขอสู้ทำมาหากินต่อ เพราะถ้าตนล้ม ลูกก็ล้ม ตนต้องสู้ต่อ

นางสาวมิน (นามสมมติ) อายุ 21 ปี ลูกสาวของผู้เสียหาย บอกว่า ตนและทุกคนในครอบครัวยังคงรู้สึกเครียด เนื่องจากเงินจำนวน 4 ล้าน เป็นเงินทุนประกอบอาชีพของครอบครัวและทุนเรียนต่อของตนและน้องสาว ตนติดตามข่าวของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาตลอด ซึ่งกลหลอกที่พ่อของตนโดน เป็นกลเดียวกันกับในข่าว

โดยตนมักจะเตือนพ่อของตนอยู่ตลอดให้ระวัง แต่เนื่องจากพ่อของตนใจ ถูกข่มขู่ และไม่ทันคน จึงถูกหลอก ตนไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นกับครอบครัวของตน ตนติดใจการทำงานของธนาคาร โดยตามปกติในบางธนาคาร หากลูกค้าโอนเงินจำนวนหลักแสนถึงล้านบาท ธนาคารจะไม่อนุมัติ แต่จะติดต่อเพื่อขอคำยืนยันจากลูกค้าก่อน แต่ในกรณีของพ่อตนนั้นไม่มี อีกทั้งอย่างน้อยธนาคารน่าจะทำอะไรได้บ้าง เพราะพ่อของตนได้ขอความช่วยเหลือจากธนาคารแล้ว แต่ธนาคารทำอะไรไม่ได้ ตนมีความหวัง อย่างน้อยตนก็อยากได้เงินคืนสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี

ขอบคุณ ทุบโต๊ะข่าว Amarin TV 34

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ