โป๊ะแตก สินสอด 1 ล้านไม่หาย เจ้าบ่าวทอมหิ้วไปเก็บ

โป๊ะแตก สินสอด 1 ล้านไม่หาย เจ้าบ่าวทอมหิ้วไปเก็บ

กรณีช่างภาพและทีมงานรวม 3 คน ถูกแม่เจ้าสาวกล่าวหาว่าเป็นคนขโมยเงินสินสอด 1 ล้านบาท หลังจากนั้นจึงทยอยเดินทางมาถึงที่ สภ.ทรงธรรม จ.กำแพงเพชร เพื่อให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามนัดหมาย โดยทั้ง 3 คนมีท่าทางปกติ ไม่ได้มีพิรุธหรือเครียดอะไร แต่ตอนที่มาถึงนั้น ยังไม่ขอให้สัมภาษณ์ เพราะอยากให้ปากคำเสร็จสิ้นเสียก่อน

ล่าสุดวันที่ 30 มี.ค. 65 ทีมข่าว รายงานว่า นายนก (นามสมมติ) อายุ 36 ปี ออร์แกไนเซอร์ที่รับจัดงานให้กับคู่บ่าวสาว เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง 50 นาที เริ่มตั้งแต่เวลา 19.40 - 22.30 น. ของการให้ปากคำ ตนยอมรับว่าไม่ได้เครียดอะไร แต่อาจจะตกใจในช่วงแรกที่ถูกกล่าวหา

เพราะตนและทีมทั้ง 3 คนบริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว ส่วนรายละเอียดที่ตนเล่าให้ตำรวจฟัง ตนได้รับการติดต่อจากคู่บ่าวสาวผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจของร้าน ในช่วงต้นปี 65 ตนไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ตอนนั้นก็มีการพูดคุยกันว่าอยากได้แบบไหน เพราะร้านของตนจะทำงานตามงบประมาณ แต่ในกรณีนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเป็นจรรยาบรรณในอาชีพออร์แกไนซ์ ไม่ควรนำออกมาพูดในพื้นที่สาธารณะ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการเปรียบเทียบได้

ส่วนคนที่โทรศัพท์ให้ตนกับทีมงาน กลับเข้าไปที่บ้านงานแต่ง หลังจากเงินสินสอด 1 ล้านบาทหายไป ตนบอกได้แค่ว่าเป็นเจ้าภาพ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดี ประกอบกับตอนนี้ตนไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ที่ผ่านมาตนอาจจะโพสต์ข้อความคล้าย ๆ กับนายธนา (นามสมมติ) ช่างภาพบ้าง เพราะตนอยากจะเตือนภัยสำหรับคนในวงการอาชีพเดียวกันก็เท่านั้น และลบโพสต์ไปแล้ว

ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุเงินสินสอดหายไปและเป็นคดีความ คู่บ่าวสาวก็ได้โทรศัพท์มาขอความร่วมมือให้เข้าไปสอบปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ยังไม่มีการชี้แจงว่าเงิน 1 ล้านนั้นหายไปไหน ก็เลยทำให้ตนตอบไม่ได้เหมือนกันว่า ตอนนี้เงินจำนวนนั้นอยู่ไหน แล้วใครเอาไปกันแน่ ตนขอปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจดีกว่า

นอกจากนี้ ยังมีอีกประเด็นที่ว่า มีสายโทรศัพท์ปริศนาโทรเข้ามาสั่งให้ยุติการให้ข่าว ตนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นสายปริศนาหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากให้ต่อความยาวสาวความยืด จึงไม่สะดวกให้เบอร์ดังกล่าวกับใคร ตนยืนยันว่าไม่ได้กังวลใจ เพราะตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ทำงานเช่นมา ตนไม่เคยคิดร้ายกับใคร และทำทุกงานอย่างดีที่สุดมาโดยตลอด ไม่เคยคิดด้วยว่าจะมีใครมาทำร้าย ที่ผ่านมามีหลายสื่อฯ ติดต่อเข้ามาขอสัมภาษณ์ แต่ตนได้ปฎิเสธทั้งหมด เพราะตนมองว่าไม่มีประโยชน์อะไร เพราะตนอยากให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่ในเมื่อทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี มาเรียกถึงหน้าบ้าน ตนก็บริสุทธิ์ใจที่จะพูด และยินดีจะกล่าวคำสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับที่นายธนา

ผมมั่นใจว่าไม่ได้เอาเงินสินสอดไป ไม่มีทางที่จะเอาอาชีพมาทิ้งแน่นอน หรือถ้าเอาไปก็ขอให้ล้มจม และเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่างฝ่ายต่างก็เครียดไม่แพ้กัน ถ้าถามว่าคู่บ่าวสาวและครอบครัวติดต่อมาขโทษบ้างหรือยัง ผมก็ยอมรับว่ายัง และผมก็ไม่ได้ติดใจเรื่องเอาความอะไร เพราะผมมองว่ายังไงเขาก็เป็นลูกค้า ส่วนคำขอโทษนั้นก็ยังอยากได้ ไม่ว่าจะอ้างด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ตนรับได้หมดครับ นายนก ออร์แกไนซ์เซอร์ กล่าวให้ฟัง

อย่างไรก็ตาม หลังจากให้สัมภาษณ์เสร็จ นายนก แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการเดินไปจุดธูป 7 ดอกที่หน้าศาลพระภูมิเจ้าที่ ภายในบ้าน แล้วกล่าวคำสาบาน ดังต่อไปนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ปกปักรักษาสถานที่บ้านหลังนี้ ที่ลูกช้างนับถือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เกี่ยวกับเรื่องสินสอดหาย ลูกช้างขอสาบานว่าลูกช้างไม่ได้เอาไป และเป็นผู้บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่เป็นความจริง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษลูกช้าง ทำมาค้าขายอะไรก็ไม่ขึ้น ทำอะไรก็มีแต่ความล่มจม หาย ให้หมดสิ้นไปเลย

ขอให้ผลดีที่ทำอยู่จงประเสริฐประสิทธิ์ให้ลูกช้างมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ถ้าลูกช้างพูดจริงอะไรจริง ขอให้ธุรกิจของลูกช้างมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ถ้าลูกค้าพูดไม่จริง ขอให้ธุรกิจของลูกช้างล่มจม ทำอะไรก็ไม่ขึ้น และลูกช้างขอสาบานว่า เงินก้อนนี้ ลูกช้างไม่ได้นำมา และทีมงานของลูกช้างทั้งหมดก็ไม่มีใครเกี่ยวข้องและหยิบออกมาเลยสักคน ขอสาบานต่อความจริง สาธุ

นายขาว (นามสมมติ) อายุ 33 ปี ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของทีมช่างภาพ กล่าวว่า จากการถูกสอบปากคำส่วนใหญ่จะเป็นการสอบถามนายธนา เพราะตำรวจต้องการรายละเอียดในการเปลี่ยนชุดกลับบ้าน เนื่องจากขึ้นไปเปลี่ยนชุดและเก็บอุปกรณ์ที่ชั้น 2 ก่อนกลับ ซึ่งรายละเอียดของเหตุการณ์และเวลาที่ได้แจ้งกับตำรวจ ก็เหมือนกับที่ให้สัมภาษณ์ เพราะทุกอย่างยืนยันได้ด้วยเวลาที่ปรากฏขณะภาพถ่ายในงาน สำหรับลักษณะงานของตน คือ การถ่ายภาพ Candid หรือมุมเผลอ ๆ

ซึ่งจะเน้นความรู้สึกของคน และเบื้องหลังต่าง ๆ แน่นอนว่าตนได้รับค่าจ้างมาแล้ว 3,000 บาท จึงไม่สามารถเปิดเผยภาพเหล่านั้นได้ แต่ตนก็ได้มอบให้เป็นหลักฐานแก่ตำรวจไปแล้วบางส่วน ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าตลอดครึ่งวันเห็นทีมงานอีก 2 คนอยู่ในสายตาเสมอ และเห็นว่าเงินสินสอด 1 ล้านบาท อยู่ในห่อพลาสติกหนาแน่นไม่มีการแกะใด ๆ กระทั่งช่วงที่แม่เจ้าสาว รับสินสอด สีหน้าท่าทางของทุกคนก็ดูยิ้มร่าเริงเหมือนงานแต่งทั่วไป

จากนั้นตนเอะใจว่าปกติตนถ่ายรูปงานแต่ง จะเห็นว่าก่อนแม่เจ้าสาวจะเก็บเงิน ต้องนำเงินออกมานับว่าครบหรือไม่ แต่งานนี้ไม่มี ส่วนช่วงที่มีคนโทรศัพท์ไปแจ้งนายนก ว่าเงินสินสอดหาย พวกตนก็รีบกลับไปให้ปากคำกับตำรวจที่บ้านเกิดเหตุทันที แม่เจ้าสาวก็ตะคอกใส่นายธนา บรรยากาศตอนนั้นตึงเครียดมาก ๆ เหมือนกำลังโดนรุมด้วยสายตาคน 15-20 คน แล้วมีอยู่คนหนึ่งเป็นผู้ชายวัยกลางคน คาดว่าเป็นเพื่อนของเจ้าสาว พยายามจี้ให้ตำรวจเร่งตรวจสอบพวกตนและรอยนิ้วมือที่ประตูห้องนอน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ก็อธิบายว่า หากตรวจสอบตอนนั้นแสงมันน้อย เพราะดึกแล้ว จึงเสนอให้กองพิสูจน์หลักฐาน เข้ามาตรวจสอบในวันรุ่งขึ้น (26 มี.ค.65) แต่หนึ่งสิ่งที่ตนจำได้ คือ ขณะนั้นไม่เห็นวี่แววของเจ้าบ่าว มีแค่เจ้าสาว และเพื่อน ครอบครัวเท่านั้น จนตนกลับบ้านเวลา 22.00 น. ก็ไม่เห็นเจ้าบ่าวแต่อย่างใด

ผมบริสุทธิ์ใจที่จะให้ข้อมูล เพียงแค่เสียความรู้สึกที่ถูกกล่าวหา แถมยังเสียเวลาทำมาหากิน ต้องมามีประวัติทางคดีในเรื่องที่ผมไม่ได้ทำผิด ก็เลยอยากให้บ่าวสาวออกมาพูดความจริง ออกมาขอโทษ มิใช่กล่าวโทษคนอื่นเสร็จแล้วหายเงียบ ผมเชื่อว่าคนทั้งประเทศก็อยากรู้ ว่าจริง ๆ แล้วเงินมันหายไปไหน แล้วถ้าเกิดคดีมันพลิก พวกตนพ้นข้อครหา ก็จะปรึกษากันอีกทีว่าจะดำเนินการยังไง ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ได้เป็นคนเอาเงินไป ผมขอสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าผมไม่ได้เอาเงินไป ถ้าผมเอาไปก็ขอให้ทุกอย่างไม่เจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น ก็ขอให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต นายขาว กล่าวยืนยันอย่างหนักแน่

พ.ต.อ.อเนก จันทร์ศร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร ระบุว่า ขณะนี้ตำรวจได้พยานวัตถุที่ช่างภาพถ่ายไว้จำนวนมาก สามารถไล่เรียงไทม์ไลน์ได้ว่าใครเป็นใครได้อย่างชัดเจน จึงตรวจสอบโทรศัพท์ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวเรียบร้อยแล้ว พบว่าพ่อแม่เจ้าสาวรับสินสอด แล้วนำไปเก็บในห้องและใส่กุญแจไว้ ส่วนคนที่ถือกุญแจห้องซึ่งสามารถเข้าได้มีเพียง 2 คน คือ เจ้าบ่าว และเจ้าสาว นอกจากนี้ตรวจสอบแล้วห้องดังกล่าวไม่มีร่องรอยการถูกงัดแงะ ทั้งนี้ จากเค้นสอบปากคำ คู่บ่าวสาวยอมรับสารภาพว่า เป็นคนเก็บเงินสินสอดจำนวน 1 ล้านบาทไปเอง และเงินจำนวนดังกล่าวก็เป็นเงินที่ไปเช่ามาเพื่อใช้เป็นสินสอด โดยที่พ่อแม่เจ้าสาวไม่รู้ หลังจากเสร็จงานจึงต้องนำไปคืนผู้ให้เช่า แต่เมื่อพ่อแม่เห็นว่าเงินหายไป จึงตกใจและรีบแจ้งตำรวจจนกลายเป็นข่าว นอกจากนี้ หากพบว่ามีจุดประสงค์อื่น นอกเหนือจากคืนเงินผู้ให้เช่า จะต้องแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คลิป

ขอบคุณ ทุบโต๊ะข่าว Amarin TV 34

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ