คลิปเสียงหน้ารถแตงโม กระติก คุยกับ โบว์ TK

คลิปเสียงหน้ารถแตงโม กระติก คุยกับ โบว์ TK

จากกระแสข่าว นายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย อดีตทนายความส่วนตัวของนางภนิดา แม่ของแตงโม ได้ออกมาให้ข้อมูลคดีแตงโม มีหลักฐานสำคัญอยู่ชิ้นหนึ่งที่พยายามติดตามหาข้อเท็จจริงอยู่ ก่อนที่จะถูกสั่งปลดออกอย่างกะทันหัน ล่าสุด วันที่ 28 มี.ค. 65 ทนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย เปิดเผยว่า หลักฐานดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลที่ทางคุณแม่แตงโมได้รับทราบมาจากพนักงานสอบสวน ในช่วงที่ตนยังเป็นทนายอยู่ คลิปดังกล่าวนั้นเป็นคลิปเสียงภายในรถจากกล้องหน้ารถของแตงโมคันที่นักร้องดัง โบ ทีเค เป็นคนขับรถกลับมาจากอู่เรือพร้อมกับกระติก อดีตผู้จัดการส่วนตัวแตงโม ที่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเรือให้กับโบ ทีเคฟัง หลังเกิดเหตุที่แตงโมพลัดตกเรือไป ตอนนั้นเองทางคุณแม่ได้ระบุว่ามีจริง

กระทั่งล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายที่มีข่าวออกไป แม่ของแตงโมได้โทรศัพท์มาสอบถามตนว่า ทำไม ตนจะออกมาแฉแม่เหรอ ซึ่งตนยอมรับว่าตนไม่ได้ตั้งใจจะออกมาแฉ แค่พูดว่ามีพยานหลักฐานบางอย่างที่ก่อนตนจะออกมาจากการเป็นทนายของแม่ แต่ยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ ทั้งนี้พอตนได้อธิบายไป คุณแม่เองบอกว่าคลิปดังกล่าวไม่มีเสียง ทางคุณแม่เองตรวจสอบแล้วไม่พบอะไร ก็เลยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เพราะตนเองก็ไม่ได้มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบประเด็นดังกล่าวแล้ว

แต่ยืนยันว่าตอนนี้นที่ทางคุณแม่พูดสื่อสารมาจากทางพนักงานสอบสวน ย้ำว่าท่านพูดจริงว่ามีคลิปภาพและเสียงกล้องหน้ารถ ทั้งนี้ทั้งนั้นตนก็ไม่ได้อะไรมาก คิดอีกมุมว่าหลักฐานชิ่นหนึ่งที่อาจจะใช้ดำเนินการในชั้นศาล มองเป็นเนื่องของความลับของคดี ตนพูดเบอะไปจะหาว่าก้าวก่ายทั้งที่ไม่มีอำนาจ

เมื่อถามถึงกรณีที่ที่ทางคุณแม่ภนิดามีการนำเรื่องไปยื่นที่ดีเอสไอให้รับเรื่องเป็นคดีพิเศษ ส่วนนี้อยากจะชี้เเจงว่าทางตนในฐานะอดีตทนาย ไม่เคยไปยื่นเรื่องที่ทางดีเอสไอ แต่เคยไปขอคำปรึกษาจริง มองว่าที่ดีเอสไอตั้งคณะกรรมการในการรับเรื่องเข้าเป็นคดีพิเศษน่าจะมาจากคำร้องของคนอื่นหรือไม่ ทั้งนี้ หลังจากที่ตนได้มีโอกาสไปพูดคุยแนะนำให้ทางคุณหมอพรทิพย์เข้ามาช่วยเหลือและติดตามผลการชันสูตรในรอบที่ 2 ตลอดจนทางคุณแม่เองยังเป็นคนเซ็นเอกสารทุกอย่างด้วยสติดี ตนไม่ได้ไปหลอกหรือให้แม่แค่เซ็นเท่านั้น เพราะท่านก็มีอ่านบ้าง แต่ไม่ทราบว่าอ่านละเอียดหรือไม่

นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความชื่อดัง กล่าวว่า จากกระแสข่าวว่ามีข้อมูลจากทนายกฤษณะ บอกว่าแม่ของแตงโมเคยมาพูดว่ามีคลิปเสียงคุยกันระหว่างโบ TK กับกระติก ซึ่งบันทึกได้จากกล้องหน้ารถ ขณะขับกลับหลังเกิดเหตุ นับว่าเรื่องนี้เป็นข้อมูลที่น่าตกใจมาก แสดงว่ามีคนรู้อยู่แล้วว่ามีเหตุการณ์ที่กระติกคุยกับโบในวันแรก หลังจากเกิดเรื่องใหม่ ๆ ทั้งนี้ จะมีการพูดถึงเรื่องดื่มหรือไม่ มีพูดเรื่องของสารบางอย่างหรือไม่ คลิปเสียงไม่สามารถนำไปเป็นหลักฐานแจ้งข้อหาเจตนา หรือแจ้งข้อหากับใครได้ และจะเป็นหลักฐานสำคัญ อาจจะนำมาซึ่งจุดจบของคดีนี้ จะมีการขยายผลไปถึงพยาน 3 คนที่เหลือ ทั้ง แซน กระติก จ๊อบ อาจจะโดนข้อหาแจ้งความเท็จกับเจ้าพนักงานหรือไม่ เพราะคุยกันอีกแบบ พอสอบปากคำให้การอีกแบบ หลังจากนี้จะเป็นหลักฐานที่จะบอกได้ว่าดื่มบนเรือจริง และหล่นจากเรือได้อย่างไร ซึ่งตนเองยังไม่ได้ฟัง ซึ่งไม่รู้ว่าทนายกฤษณะฟังแล้วจะมีเนื้อหาแบบไหน ส่วนตัวมองว่าข้อมูลตัวนี้มีค่ามาก อาจจะทำให้คดีพลิกได้

จากเดิมหาพยานหลักฐานเอาผิดยาก แต่มามีคลิปเสียงคุยกันในรถ แล้วหากพิสูจน์ได้ว่ามีคนโกหก ให้ปากคำไม่ตรงกับตำรวจ โดนออกหมายจับแน่ ในข้อหาแจ้งความเท็จ ให้การเท็จกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากคุยถึงขั้นทำลายหลักฐานทางคดี ข้อหาอื่นก็จะตามมา อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ คิดว่าคนบนเรือมีเรื่องดื่มแต่เรื่องสารไม่แน่ใจ คิดว่าเรื่องดื่มเป็นหลัก เพราะคนไม่มีสติขับเรือ แตงโมก็ไม่มีสติ คนบนเรือก็ไม่มีสติ แต่ไม่มีการเป่าตรวจวัด ถ้าดื่มกันหมด อาจเป็นไปได้ว่ามีการแจ้งข้อหาประมาท เอาผิดได้สำหรับคนขับเรือ พยานคนอื่นก็จะโดนแจ้งข้อหาอื่น ลดหลั่นกันตามมา

ซึ่งสอดคล้องกับความคิดเห็นของ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา และการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่า เนื้อหาในการสนทนาของโบกับกระติกถ้าเป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับคดี เช่น ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่กระติกเคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ หรือมีการให้ข้อมูลกับตำรวจไปก่อนหน้านี้ ไม่ตรงกับการพูดคุยกับโบในรถ หากคลิปเสียงนี้มีอยู่จริง แสดงว่าคลิปนี้มีความสำคัญ อาจจะเป็นสาระสำคัญในคดีที่ตำรวจกำลังสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุการจากไปของแตงโม

ขระที่ สภ.เมืองนนทบุรี นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เดินทางมาแจ้งความเอาผิด 5 คนบนเรือ กรณีแจ้งความเท็จ และทำลายหลักฐาน

ทนายรัชพล ระบุว่า กรณีที่มีข่าวออกมาว่าคนบนเรือให้การว่าแตงโมไปทำธุระท้ายเรือ ซึ่งฟังแล้วไม่น่าเชื่อ รวมถึงการที่คนบนเรือบางคนอ้างว่าไม่เห็นแตงโมตอนเดินไปท้ายเรือซึ่งเป็นไปไม่ได้ เข้าข่ายแจ้งความเท็จ รวมถึงกรณีที่คนบนเรือมีการดื่มไวน์ แต่โยนขวดไวน์ทิ้ง จนต้องไปงมหาตามที่มีข่าว เข้าข่ายทำลายพยานหลักฐาน ให้บุคคลได้รับโทษน้อยลง จึงมาแจ้งความในฐานะพลเมืองดี ซึ่งข้อหาแจ้งความเท็จต้องระวางโทษ 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนข้อหาทำลายหลักฐาน ระวางโทษปรับ 5 ปี

โทษปรับอีกเป็นหลักแสนบาท ส่วนพยานหลักฐานเชื่อว่าตำรวจมีอยู่แล้ว เรื่องเหล่านี้อยู่ในสำนวน ตนเพียงแค่ให้ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติมว่าสามารถเอาผิดในกรณีที่กล่าวไปข้างต้นได้หรือไม่ โดยเรื่องการทำลายหลักฐานเป็นส่วนสำคัญในทางคดี การดื่มจนไม่มีสติมีผลเป็นอย่างมาก ทำให้ติดหรือไม่ติดคุ กได้เลย หากประมาทเฉย ๆ แล้วมาขับเรืออาจจะไม่ติดคุ ก แต่หากพบว่าเมาแล้วขับเรือจะกลายเป็นเหตุที่แรง ศาลอาจพิจารณาลงโทษจำคุ ก โดยไม่รอลงอาญา

พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือ ผู้การแต้ม อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ฉายามือปราบหูดำ เปิดเผยว่า เรื่องนี้ตนเองอยากจะย้อนถามบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องหรือต้องการที่จะใช้พื้นที่ในคดีของแตงโม เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือนำหลักฐานมาอ้างว่ามีข้อมูลสำคัญ โดยเฉพาะบางคนที่เป็นทนายความ อยากจะถามกลับไปว่าเป็นทนายที่ได้รับแต่งตั้งเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ หรือตัวแม่ได้มีการแต่งตั้งให้เป็นทนายส่วนตัวหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าการที่เข้ามายุ่งเกี่ยวโดยที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ จะกลายเป็นผิดมรรยาท ฉะนั้นก็เปรียบเสมือน แมลงเม่าหลงไฟ อยากได้แสง พอใกล้แสงดับก็ดับไปด้วย" ถ้าหากมองว่าต้องการเป็นพลเมืองดี หรือต้องการเป็นพยานในคดี หากมีข้อมูลสำคัญ ควรที่จะนำไปมอบให้กับตำรวจ ไม่ใช่ออกมาใช้สื่อสัมภาษณ์หรือพูดจนกระทั่งเป็นประเด็น แต่เมื่อมีการเรียกถามหรือเรียกเข้าไปสอบถามกลับไม่มีพยานหลักฐาน ไม่มีแม้แต่สิ่งที่จะนำไปเชื่อมโยงในคดี มีแต่คำว่า เขาเล่าว่า"ซึ่งเรื่องนี้ก็เปรียบเสมือนอดีตตำรวจคนหนึ่งที่เคยเข้าไปให้ข้อมูล แต่เมื่อตำรวจต้องการขอข้อมูลนำไปตรวจสอบกลับไม่มีอะไรให้อย่างที่ออกข่าวเกือบทุกช่อง

กรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ อ้างว่ามีหลักฐานสำคัญที่จะนำไปมอบให้กับตำรวจ วันที่ 2 เม.ย. ยืนยันว่าแตงโมไม่ได้ตกที่ท้ายเรือ แต่ตกที่หัวเรือ ส่วนตัวอยากจะถามกลับไปกับบุคคลเหล่านั้นว่า ได้หลักฐานเหล่านั้นมาจากไหน มีแหล่งที่มาอ้างอิงหรือไม่ และการที่คุณจะนำข้อมูลไปมอบให้กับตำรวจมีผู้เชี่ยวชาญด้านไหนอ้างอิง หรือมีคนฟันธงหรือไม่ว่าตกที่หัวเรือ ฉะนั้นถ้าเทียบกับการทำหน้าที่ของตำรวจสืบสวนสอบสวน ทุกขั้นตอนและทุกข้อสมมติฐาน ตำรวจจะมีการทดสอบ มีการจำลอง ใช้หลักการและเหตุผล รวมถึงนิติวิทยาศาสตร์เข้าไปตรวจสอบทุกครั้ง ต่างจากสิ่งที่เห็นและมโนกล่าวอ้างไปเอง ฉะนั้นการที่คุณจะเอาข้อมูลใหม่ไปมอบให้ตำรวจ แต่ไม่มีหลักฐานอ้างอิงหรือมีความเชื่อถือตำรวจก็ไม่ฟัง

ขอบคุณ ข่าวภาพข่าวจาก ทุบโต๊ะข่าวอัมรินทร์ทีวี

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ