สาวร้อง แท็งก์น้ำ โผล่ในที่ดิน ยื่นค้านกว่า 5 ปี ไม่คืบ แถมโดนชาวบ้านหาว่าไร้น้ำใจ
น.ส.วรภรพรหมสรรค์ การีกลิ่น อายุ 35 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 2 ต.เตาปูน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ร้องเรียนว่า ได้รับความเดือดร้อนจากแท็งก์น้ำประปาหมู่บ้านหมู่ที่ 2 ที่เข้ามาติดตั้งอยู่บนที่ดิน ทั้งที่ไม่ได้รับความยินยอม แม้เดินหน้าร้องเรียนมานานกว่า 5 ปี แต่ไม่เป็นผล ซ้ำโดนกล่าวหาว่า ไร้น้ำใจ
น.ส.วรภรพรหมสรรค์ ได้พาผู้สื่อข่าวไปดูร่องรอยแตกร้าว และยุบตัวของพื้นห้องน้ำ ที่อยู่ห่างจากตัวแท็งก์น้ำเพียง 3 เมตร ที่คาดว่าน่าจะเกิดจากการทรุดตัวของชั้นดิน ทั้งนี้จากการสังเกตพบว่าแท็งก์น้ำดังกล่าว มีความสูงประมาณ 20 เมตร
บริเวณขอบด้านบนของแท็งก์น้ำมีตัวอักษรสีเหลืองเขียนไว้ชัดเจนว่าเป็น โครงการประชารัฐ ซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน เพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ตามแนวทางประชารัฐ
นอกจากนั้นยังได้นำหลักฐานมาแสดง เป็นโฉนดที่ดินผืนดังกล่าว เอกสารแจ้งความ สภ.เขาดิน เรื่องให้รื้อถอนแท็งก์น้ำประปา เนื่องจากไม่ได้รับการอนุญาตให้ก่อสร้าง เอกสารการร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมอำเภอโพธาราม และแบบแปลนบ้านที่ขออนุญาตก่อสร้าง แต่เทศบาลตำบลเขาขวางไม่สามารถอนุมัติให้ได้ เนื่องจากสถานที่ตั้งทับซ้อนกับแท็งก์น้ำประปา
น.ส.วรภรพรหมสรรค์ เปิดเผยว่า พื้นเพเดิมคุณแม่ของตนเป็นชาวโพธาราม แต่ด้วยภาระหน้าที่จึงได้ย้ายไปอยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ต่อมาคุณแม่ได้รับมรดกจากครอบครัวเป็นที่ดินจำนวน 1 งาน 95 ตารางวา ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ต.เตาปูน อ.โพธาราม
โดยตนและน้องสาวตั้งใจว่าจะรวบรวมเงินนำมาปลูกบ้านบนที่ดินดังกล่าวให้กับคุณแม่ เพื่อลงหลักปักฐาน และให้แม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับญาติพี่น้อง กระทั่งปี 2559 ประธานชุมชนพร้อมกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเข้ามายังที่ดินของตน แล้วแจ้งว่าเข้ามาทำการสำรวจแหล่งน้ำ สำหรับใช้ทำประปาหมู่บ้าน ซึ่งตนและครอบครัวก็ได้แสดงเจตจำนงด้วยวาจาว่าไม่อนุญาตให้มีการก่อสร้างใดๆ ในพื้นที่ทั้งสิ้น ก่อนจะเดินทางกลับไปที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน จึงได้เดินทางกลับมาที่ อ.โพธาราม อีกครั้ง และพบว่ามีการก่อสร้างระบบกระจายน้ำบาดาล และติดตั้งแท็งก์น้ำขนาดใหญ่บนที่ดินของตัวเอง จึงได้ไปแจ้งความคัดค้านและให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.เขาดิน พร้อมทั้งติดตามสอบถาม รวมไปถึงการร้องเรียนยังหน่วยงานในพื้นที่
ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปี ตนก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าแท็งก์น้ำดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานใด หนำซ้ำยังโดนคำพูดต่อว่า ครอบครัวตนเห็นแก่ตัว ไร้น้ำใจ ชาวบ้าน 150 หลังคาเรือนจะต้องเดือดร้อนจากการไม่มีน้ำใช้
ในขณะที่ครอบครัวตนไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากโครงการดังกล่าวเลย อีกทั้งยังไม่สามารถดำเนินการอะไรบนที่ดินของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกบ้านให้คุณแม่อยู่ หรือนำไปเป็นทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ รวมถึงขายต่อก็ไม่ได้ ต้องกลายเป็นที่ดินไม่มีค่า แม้อยากจะทำการรื้อถอนเอง ก็ต้องจ้างผู้รับเหมาเอกชน ใช้งบประมาณกว่า 5 หมื่นบาท แต่ที่สุดก็ทำไม่ได้ เพราะแท็งก์น้ำเจ้าปัญหานี้เป็นของรัฐ หากรื้อถอนโดยพละการจะมีความผิดตามกฎหมาย
ทั้งนี้ตนจึงอยากร้องเรียนผ่านสื่อไปถึงผู้มีอำนาจ และเกี่ยวข้องช่วยสั่งให้มีการรื้อถอนแท็งก์น้ำดังกล่าวออกจากที่ดิน เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ตนและครอบครัวโดยเร็ว รวมไปถึงต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยามาตรวจสอบชั้นดิน หลังน้ำใต้ดินถูกดูดขึ้นมาใช้นาน 5 ปี เกรงผลกระทบกับบ้านที่สร้างใหม่ในอนาคต