หนุ่มเล่าหลงป่า5วัน ชายท่องคาถาขู่ให้เดินตาม
จากกรณี นายไวพจน์ อายุ 31 ปี ชาวบ้าน ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี หายตัวไปจากพื้นที่ไร่มันในหมู่บ้าน ขณะปลดทุกข์ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ได้ระดมทีมค้นหา ตลอดระยะเวลา 5 วัน 4 คืน กระทั่งวันที่ 23 ธ.ค. พบตัวอยู่ในสภาพอิดโรย ร่างกายไร้เสื้อผ้า เหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียว เดินเท้าเปล่า มีบาดแผลและรอยช้ำตามร่างกาย ยืนโบกรถอยู่ริมข้างทาง บริเวณทุ่งเกษตร หมู่5 บ้านภูเตย ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 8 กม.
ล่าสุดวันที่ 25 ธ.ค. 64 ผู้สื่อข่าวรรายงานว่า ที่บ้านของ นายไวพจน์ เต็มไปด้วยญาติ พี่น้อง เพื่อนสนิท รวมทั้งเพื่อนบ้านในหมู่บ้านและมาจากต่างหมู่บ้าน ที่เดินทางมาเยี่ยม และแสดงความยินดีกับพ่อและแม่
รวมทั้งมาร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ โดยครอบครัวนิมนต์พระวิจิตร ภัททกิตตโก (หลวงตาจิตร) เจ้าอาวาสวัดบ้านน้ำมุด พระเกจิอาจารย์ ชื่อดัง ที่ชาวบ้านเคารพเลื่อมใส มาทำพิธี
นายไวพจน์ กล่าวว่า วันที่หายตัวไป ก่อนหน้านั้นตนขี่จยย.เพื่อจะไปรับแม่ กลับบ้านมากินข้าวเที่ยง หลังจากช่วยพ่อรดน้ำผักที่แปลงผัก
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก เมื่อขึ้นไปรับแม่ที่สวนพริก รู้สึกปวดท้องจึงบอกให้แม่รอที่รถ เพื่อจะเข้าไปปลดทุกข์ในดงมันที่ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร พอเดินเข้าไปในดงมันยังไม่ทันทำอะไร ทุกอย่างก็มืดลง พยายามหันกลับไปมองหาแม่ แต่ก็ไม่พบ ไม่เจอและไม่ได้ยินอะไร นอกจากชาย 2 คนตัวดำ สูงใหญ่ หน้าตาดุดัน ที่สวดคาถาหรืออะไรใส่หูตน พร้อมบอกให้เดินตามไป
ตนต้องค่อยเดินสลับกับการคลานไปอย่างช้า ๆ เนื่องจากทุกอย่างอยู่ในความมืด ไม่มีลม ไม่มีแสงสว่างใด ๆ ไม่มีจุดหมาย แต่ต้องไปตามเสียง ที่ชาย 2 คนที่คอยสั่งผมอยู่บนยอดเขา ไม่รู้เวลา ไม่รู้วัน ทุกครั้งที่ผมคิดจะหันกลับบ้าน ผู้ชายทั้ง 2 ก็จะรู้และขู่ ยิ่งทำให้ตนหวาดกลัว และต้องอาศัยกินน้ำตามแอ่งน้ำเล็ก ๆ ที่เจอระหว่างทาง โดยเอาใบไม้มาม้วนแทนแก้วเพื่อคลายหิว
บางครั้งก็กินหยวกกล้วยจากต้นกล้วยป่า ประทังความหิว อาศัยนอนใต้ต้นไม้บ้าง ตามโขดหินบ้าง บางคืนหนาวจนถึงกระดูก บางครั้งต้องเอาใบตองกล้วยป่ามาปูนอน มันเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะทรมาน คิดถึงพ่อและแม่อยู่ตลอดเวลา
ในหูได้ยินเสียงสวดของผู้ชาย 2 คน สลับกับเสียงขู่ อยู่ตลอดเวลา ต่อมาผมเริ่มได้ยินเสียงพระสวดมนต์ แทรกเข้ามาในหูอีกข้าง ไม่นานเสียงพระที่สวดมนต์ค่อย ๆ ดังขึ้น ขณะที่เสียงสวดของชาย 2 คน เริ่มแผ่วลง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงชาย 2 คน กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด วินาทีนั้นมีแสงสว่างเกิดขึ้น จึงได้เดินตามแสงสว่าง ออกมาจากที่มืด จากนั้นผมจำอะไรไม่ได้ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกที่ เหมือนเดินอยู่ข้างทางที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่รู้ขณะที่ตาเริ่มพร่ามัว มารู้สึกตัวอีกที่ก็พบพ่อและแม่ รวมทั้งพี่ ๆ และญาติ ก็ดีใจ
ผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริง ๆ ไม่คิดว่าจะได้กลับมาบ้านอีกครั้ง มันเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัว ผมไม่รู้จะเล่าอย่างไร ภาพผู้ชาย 2 คนยังติดตาผมอยู่จนวันนี้ ผมคงไม่กล้าออกไปไหนสักพัก เมื่อหายดีแล้วจะไปหาหลวงตาจันทร์ ที่วัดบ้านน้ำมุด แน่นอน ที่ผมรอดชีวิตมาได้ในครั้งนี้เพราะบารมีท่านช่วยผม แม่บอกว่าจะให้ผมบวช ผมก็ตั้งใจอยากบวชสักพักก่อน นายไวพจน์ กล่าว
เพราะหลังจากที่ญาติที่อยู่บ้านน้ำมุด พาหลวงตามาทำพิธีบริเวณไร่มันได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ว่าพบลูกชาย ที่บ้านภูเตย ซึ่งก่อนหน้าจะเดินทางกลับ หลวงตาจันทร์บอกกับทุกคนว่า ไม่ต้องออกค้นหาหรอก เพราะทุกคนเหนื่อยมามากแล้ว ภายในวันนี้เดี๋ยวเขาก็ออกมาเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก ๆ โดยช่วงหนึ่งระหว่างทำพิธี ทุกคนที่อยู่ในพิธีได้ยินเสียงหลวงตาจันทร์พูดกับใครก็ไม่รู้ว่าให้ปล่อยตัวลูกชายของตนมา ถ้าไม่ปล่อยจะได้เห็นดี จากนั้นหลวงตาก็ได้ท่องคาถา
ชาวบ้านที่นี่ทุกคนเคารพและศรัทธาในตัวหลวงตาจันทร์ โดยใครที่มีเรื่องเดือดเนื้อ ร้อนใจ ก็มักจะไปหาหลวงตาจันทร์ ที่วัดบ้านน้ำมุด หลวงตาก็จะเมตตาให้ความช่วยเหลือ และครั้งนี้ไม่ใช้ครั้งแรกที่หลวงตาช่วยคนที่หายไป เมื่อก่อนเคยมีเด็กในหมู่บ้านอื่นหายไป 2-3 วัน ก็ได้หลวงตาไปช่วยทำพิธีจนเด็กกลับมาได้อย่างปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเย็นวันนี้ที่บ้าน นายไวพจน์ ได้จัดเตรียมงานฉลองที่ลูกชายกลับบ้านมาอย่างปลอดภัย อีกทั้งเป็นการเลี้ยงขอบคุณเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครฯ รวมทั้งเพื่อนบ้านทุกคนที่ช่วยออกตามหาลูกชายตลอด 5 วัน ที่หายตัวไป