นิ้ง กุลสตรี เล่านาทีใจหาย บอกญาติๆ ให้ทำใจรอแล้ว
ต่อสู้กับโรคร้ายมาอย่างอดทน จนล่าสุดแฟนคลับได้มีโอกาสเห็นรอยยิ้มของ นิ้ง กุลสตรี หรือที่เธอได้เป็นชื่อใหม่เป็น นิ้ง ณิชชยาณัฐ ศิริพงศ์ปรีดา
เนื่องจากอาการป่วยโรคไขกระดูกบกพร่อง หรือ ป่วยโรคประหลาด ซึ่งสาเหตุเริ่มต้นมาจากร่างกายตนเองก็มีรอยช้ำขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
โดยเมื่อไม่นานมานี้ นิ้ง ณิชชยาณัฐ ในวัย 48 ปี ได้ทำการอัดคลิปวิดีโอเปิดเผยเรื่องราวอาการป่วยที่ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาเป็นระยะเวลากว่า 1 ปี เพื่อแบ่งปันข้อคิดและส่งต่อกำลังใจดีๆ ให้กับแฟนคลับ
พร้อมกันนี้ เธอยังได้ตอบคำถามที่มีแฟนๆ บนโลกโซเชียลฯ ส่งกันเข้ามา เกี่ยวกับ สาเหตุของโรค และ ช่วงเริ่มการรักษา
นอกจากนี้ ยังมีช่วงหนึ่งที่ นางเอกสาวในตำนานของยุค 90 เล่าว่า ตัดสินใจบอกกับญาติๆ และคนใกล้ชิด ให้เริ่มทำใจเรื่องการรักษาตัวจากอาการป่วย ซึ่งเธอบอกว่า เนื่องจากตอนนั้นถือว่าอาการ 50 – 50 บอกให้ญาติทุกคนเริ่มทำใจได้แล้ว
นิ้ง ณิชชยาณัฐ เล่าถึงสาเหตุอาการป่วยติดเตียงของตนเองว่า จากที่ได้ฟังจากอาจารย์หมอ ได้บอกว่าเกิดจากหลายสาเหตุมาก เช่น การได้รับสารเคมี ทั้งการสูดดม อาหาร และทางผิวหนัง ที่สำคัญที่สุดเลยคือความเครียด เพราะเธอเป็นคนที่เครียดง่าย
แต่หลังจากที่ป่วย เธอก็พยายามที่จะปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ พยายามไม่เครียดเมื่อมีอะไรมากระทบจิตใจ บางครั้งก็ต้องก็จะหายใจลึกๆ และบอกกับตัวเองว่า ช่างมันเถอะ แล้วยิ้ม ปล่อยวาง และก็เดินจากไป เท่านี้ก็จะไม่เครียด
นิ้ง กุลสตรี เล่าช่วงที่กำลังรักษาอีกว่า ตอนที่ ให้ยาเคมีบำบัดครั้งแรกก็เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมา คือทางเดินอาหารและกระเพาะอาหารฉีก หนึ่งในสาเหตุนั้นคือ เธอทานอาหารไม่ตรงเวลา อดอาหาร และทานอาหารรสจัดรสเผ็ดพอสมควร
อีกทั้งในช่องท้องตอนนั้นก็เกิดเลือดออกมาก และถ่ายท้องทางด้านล่างมากเลย พอเลือดออกก็มีการให้เลือด ให้พลาสมา ให้เกล็ดเลือด ตอนนั้นถือว่าอาการ 50 - 50 บอกให้ญาติทุกคนเริ่มทำใจได้แล้ว ซึ่งทางสามีได้เล่าให้เธอฟังว่า ช่วงที่ไม่รู้สึกตัวนั้น เธอได้รับเครื่องช่วยหายใจทางปาก
นอกจากนี้ ยังต้องให้อาหารทางจมูก รวมถึงให้ยาทางเส้นเลือดทุกช่องทาง ถึงขนาดโทรมาหาขออนุญาตญาติผู้ป่วยในการเจาะคอ เพื่อให้ได้รับยาฆ่าเชื้อ เพราะถ้าได้รับการติดเชื้ออีกหนึ่ง ก็หมดเส้นเลือดในการที่จะให้ยาฆ่าเชื้อแล้ว
ทว่าเธอกลับมองว่า ในความโชคไม่ดี ก็มีความโชคดี ซ้อนความโชคดีอยู่เหมือนกัน เพราะเธอได้และรักษากับอาจารย์หมอทุกๆ ท่าน โดยเฉพาะ อาจารย์หมอเอกพันธ์ ที่รักษาโรคเลือดของเธอเอง อาจารย์หมอธเนศ ที่รักษาโรคติดเชื้อ
อาจารย์หมอเอกพันธ์ยังแซวนิ้งเลยนะคะว่านิ้งให้อาจารย์หมอเปลืองมาก ท่านหาหนทางทุกๆ วิถีทางเลยนะคะ เพื่อที่จะให้ได้ชีวิตกลับคืนขึ้นมา เหมือนกับว่าได้เกิดใหม่เลยค่ะ เธอเล่าด้วยแววตาที่ทราบซึ้งก่อนจะยิ้มอย่างจริงใจ
ก่อนที่จะระบุต่อว่า ทุกวันนี้นะคะนิ้งยังทานยาเคมีบำบัด หรือยาพุ่งเป้าทุกวัน ตรวจเลือดทุกเดือน ถ้ามีอะไรแปลกขึ้นมาก็จะไปเจาะไขกระดูกทุกๆ 3 เดือนเพื่อตรวจ นิ้งต้องกราบขอบพระคุณอาจารย์หมอทุกๆ ท่านมากเลยนะคะ ที่ดูแลรักษานิ้งให้ชีวิตใหม่กับนิ้งขึ้นมาเหมือนได้เกิดใหม่