เปิดใจ ไรเดอร์พ่อลูกอ่อน ประดิษฐ์กล่องใส่ลูกน้อยไปส่งของด้วยกัน
จากกรณีโลกออนไลน์ได้แชร์ภาพไรเดอร์ขับรถส่งอาหารสู้ชีวิต ทำที่กั้นให้ลูกน้อยนอนหลังรถจักรยานยนต์ ซึ่งชาวโซเชียลได้แชร์ออกไปและให้กำลังใจไรเดอร์พ่อลูกอ่อนรายนี้จำนวนมาก
ล่าสุด วันที่ 23 พ.ย. 2564 ที่บริเวณบ้านถนน อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวไม่มีเลขที่ ได้พบกับ นายพงษ์สิทธิ์ โกรดประโคน อายุ 30 ปี ไรเดอร์พ่อลูกอ่อน และนางวันเพ็ญ ร่องน้อย อายุ 30 ปี ภรรยา อาชีพพนักงานบริษัทรถแห่งหนึ่ง
ทั้งนี้ นายพงษ์สิทธิ์ เล่าว่า ตนปลดจากทหารมานานแล้ว มาเรียนอยู่ที่วิทยาลัยสารพัดช่าง ปี 1 เทอม 2 เรียนจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 17.00 น. - 21.00 น. แผนกช่างยนต์ ตนและภรรยาได้อยู่กินกันมากว่า 10 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คนเป็นชายทั้ง 2 คน คนโต อายุ 4 ขวบกว่า เรียนอนุบาล 2 คนเล็กอายุ 1 ขวบ 4 เดือน
ทั้งนี้ นายพงษ์สิทธิ์ จะประดิษฐ์กล่องหลังติดรถจักรยานยนต์ของเขาไม่ได้มีเพียงสิ่งของเท่านั้น แต่จะนำลูกชายคนเล็กมานอนกล่องที่ทำไว้และไปทุกที่ด้วยกัน พร้อมกับจะเตรียมอุปกรณ์และนมมาเก็บไว้ถ้าลูกหิว และที่พาลูกมาด้วยเพราะไม่มีคนเลี้ยง
เมื่อมีออเดอร์ส่งอาหารเข้ามา ประกอบกับลูกเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ขณะรถเคลื่อนที่จะนอนหลับหรือดูการ์ตูนที่ตนเปิดไว้ให้ดูในกล่องนอน ส่วนเรื่องcv-19 ตนเคยใส่แมสก์ให้ลูกแต่ลูกดึงออก
แต่ก็มีผู้หวังดีมาถ่ายรูปแล้วเอาภาพตนไปโพสต์ ดีนะที่เห็นแต่ข้างหลัง แต่ก็ยังมีคนติดต่อเข้ามาจะบริจาคแต่ตนไม่ได้เดือดร้อนมากมาย แค่อยากให้ลูกค้าโทรเรียกใช้บริการมากกว่า ส่วนแม่เด็กทำงานอยู่ที่บริษัทรถแห่งหนึ่ง ถ้าวันไหนหยุดก็จะมาช่วยเลี้ยงลูกด้วย
ขณะที่ นางวันเพ็ญ ร่องน้อย อายุ 30 ปี ภรรยา กล่าวว่า ตนนั้นทำงานช่วยสามี และอยู่ด้วยกันมากว่า 10 ปี รู้สึกว่าเหนื่อยเหมือนกัน ตนนั้นมีความรู้สึกว่าห่วงลูกพร้อมกับเห็นเขาแล้วน้ำตาไหลก็สงสารเขาและลูกเหมือนกัน ก็อยากออกจากงานมาช่วยแต่ว่าภาระมันเยอะค่าใช้จ่ายมันมีก็ไม่พอ จึงต้องช่วยกัน
นายพงษ์สิทธิ์ กล่าวว่า ตนนั้นคิดว่าภรรยาได้ตั้งท้องมา 9 เดือนแล้วจะปล่อยให้เขาเลี้ยงไม่ใส่ใจเลยเป็นไปไม่ได้ ตนเป็นผู้ชายทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ แค่ท้องไม่ได้อย่างเดียวเท่านั้นเอง ตนจึงคิดประดิษฐ์กล่องขึ้นมาใส่ลูกชายคนเล็ก โดยประกอบเองทุกอย่างเพื่อความปลอดภัยของลูก ตอนเย็นก็จะรับลูกชายคนโตและตัวเล็กไปส่งแม่ให้แม่เขาเลี้ยงดูต่ออีกที
จากนั้นตนก็จะรีบวิ่งหาออเดอร์ส่งลูกค้า ซึ่งช่วงเช้าตนจะวิ่งตั้งแต่ลูกตื่นก็ประมาณ 10 โมงเช้าจนถึงช่วงเย็น จะได้เพียงวันละ 100-200 บาทเท่านั้น เพราะเด็กน้อยต้องมีเวลากินนมพร้อมทั้งเวลาขับถ่ายอีก ช่วงเย็นภรรยาก็เลี้ยงลูกต่อ ตนจึงวิ่งรับออเดอร์ลูกค้าได้จนถึงประมาณเที่ยงคืน
ถามว่าสงสารลูกไหม คนเป็นพ่อก็ต้องสงสารแต่ทำไงได้ บางทีน้ำตาไหล แต่ก็วิ่งรถไม่เร็ววิ่งแค่ 20-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น ตนนั้นคิดแค่ว่าขอหาเงินแค่ค่านมค่าแพมเพิร์สลูกเท่านั้น และตนนั้นจะระวังมากๆเรื่องขับรถ ที่ไม่ฝากคนอื่นเพราะมีเรื่องค่าใช้จ่าย 3,000-4,000 บาทต่อเดือน ทุกอย่างเป็นเงินหมด ต้องพึ่งตัวเอง ตนจึงอยากบอกผู้หวังดี ผู้มีน้ำใจว่าตนไม่ได้เดือดร้อนมากมาย แค่อยากให้ลูกค้าโทรเรียกใช้บริการมากกว่าพร้อมกับตนไม่ขอเปิดรับบริจาคหวั่นเกิดดราม่าต่อไป.