
ประกาศเตือนพายุฤดูร้อน เปิดพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดพายุฤดูร้อนรุนแรงถึงระดับรุนแรงมาก ระวังอันตรายจากฟ้าแลบฟ้า
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 68 เพจ เตือนภัยพิบัติฝนฟ้าอากาศ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ด่วนสุดประกาศเตือนพายุฤดูร้อน ลักษณะสภาพอากาศโดยทั่วไป ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้1,500 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางพัดจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทย ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับมีความกดอากาศต่ำหรือความร้อนปกคลุมบริเวณประเทศไทยตอนบน เฉลี่ยอุณหภูมิสูงสุด 35-40 องศาเซลเซียสจากแบบจำลอง gfs ลมระดับ 5,500 เมตรผลิตเมฆและฝน พัดตามแนวลูกศรสีม่วง
ซึ่งเป็นลมตะวันออกเฉียงใต้ และคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตก ลักษณะสภาพอากาศเช่นนี้เสี่ยงที่จะเกิดพายุฤดูร้อนรุนแรงถึงระดับรุนแรงมาก ระวังอันตรายจากฟ้าแลบฟ้าผ่า ลมกระโชกอย่างรุนแรง แต่จะเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายยาวไปจนถึงช่วงดึก เน้นช่วงบ่ายแก่ๆไปจนถึงช่วงเย็น บริเวณพื้นที่เสี่ยง อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี สระแก้ว ระยอง จันทบุรี ตราด มุกดาหาร สกลนคร หนองบัวลำภู อุดรธานี บึงกาฬ นครพนม หนองคาย กำแพงเพชร ตาก ลำปาง ลำพูน พิษณุโลก อุตรดิตถ์ น่าน เชียงราย สปปลาว
ตอนบน ระวังอันตรายจากฟ้าแลบฟ้าผ่า ลมกระโชกอย่างรุนแรงจากอากาศที่ยกตัวรุนแรง ชาร์จแบตให้เต็มก็อาจจะเกิดปัญหาไฟดับตามมาได้ หลังคา ต้นไม้ใหญ่ เสาไฟฟ้า สิ่งปลูกสร้างที่ใหม่มันคงแข็งแรงระวัง
#แจ้งเตือนพายุฤดูร้อน #พายุฤดูร้อน #พยากรณ์อากาศ วันนี้เราใช้แบบจำลองด้วยกันถึง 3 ค่าย แบบจำลองพยากรณ์อุณหภูมิ gfs จากอเมริกา แบบจำลองพยากรณ์อากาศฝนสะสม 24 ชั่วโมง gem จาก canada และแบบจำลอง jma จากญี่ปุ่น
>พายุฤดูร้อนที่มักเกิดในช่วงบ่ายแก่ ๆ มีสาเหตุหลักมาจาก ลักษณะของอากาศร้อนชื้น และการลอยตัวของอากาศ อย่างรุนแรง ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักการทางอุตุนิยมวิทยาดังนี้:
1. อุณหภูมิพื้นดินร้อนจัด (Convective Heating) ในช่วงกลางวัน โดยเฉพาะบ่ายแก่ ๆ พื้นดินจะได้รับความร้อนจาก แสงแดดเต็มที่ พื้นดินร้อนจะทำให้อากาศใกล้พื้นอุ่นและลอยตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
2. อากาศชิ้น บรรยากาศในช่วงฤดูร้อนจะมีไอน้ำสะสมสูง เพราะมีการระเหยของน้ำจากพื้นดิน พืช และแหล่งน้ำ เมื่ออากาศอุ่นลอยตัวสูงขึ้น มันจะเย็นลงจนถึงจุดที่ไอน้ำควบแน่นกลายเป็นเมฆ
3. เกิดเมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) เมฆแบบนี้มีลักษณะสูงใหญ่ ทะลุชั้นบรรยากาศ และมักก่อให้เกิดฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ฟ้าผ่า และลูกเห็บ เมฆนี้เกิดจากการยกตัวของอากาศอย่างรวดเร็ว (strong convection)
4. ความไม่เสถียรของบรรยากาศ (Atmospheric Instability) ถ้าอากาศชั้นบนเย็นกว่าปกติ หรือมีลมเปลี่ยนทิศทาง (Wind Shear) ยิ่งทำให้เกิดการหมุนวนภายในเมฆและเสริมความรุนแรงของพายุ
>เมื่ออุณหภูมิผิวพื้นอยู่ที่ 35-40°C และอากาศชั้นบนที่ความสูงประมาณ 5,500 เมตร มีอุณหภูมิติดลบ -5 ถึง -10°C จะเกิดกระบวนการที่เรียกว่า: การควบแน่นของไอน้ำและการก่อตัวของเมฆแบบ "คิวมูโลนิมบัส" โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้:
1. การยกตัวของอากาศอุ่น (Thermal Convection) อากาศใกล้พื้นร้อนจะเบาและลอยตัวขึ้น เมื่อสูงขึ้น อุณหภูมิจะลดลง ประมาณ 6.5°C ต่อ 1,000 เมตร (ค่าเฉลี่ย Lapse Rate) ที่ความสูง 5,500 เมตร อากาศจึงเย็นลงพอที่จะถึง จุดควบแน่น (Dew Point)
2. การควบแน่น (Condensation) ไอน้ำในอากาศที่ลอยตัวสูงจะเย็นลงจนควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ กระบวนการนี้จะปลดปล่อยพลังงานแฝง (Latent Heat) ซึ่งทำให้เมฆพัฒนาและสูงขึ้นอีก เมื่อลอยตัวสูงพอ หยดน้ำเริ่มใหญ่ขึ้นและเกิดฝน
3. การควบแน่นแบบเย็นจัด (Supercooled Condensation) ที่อุณหภูมิประมาณ -5 ถึง -10°C หยดน้ำบางส่วนยังอยู่ใน สภาพของเหลว แม้จะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง (เรียกว่า "supercooled water") ถ้ามีอนุภาคเล็ก ๆ (เช่น ฝุ่น เกลือ หรือคริสตัล น้ำแข็ง) จะกระตุ้นให้หยดน้ำเหล่านั้นกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อหยดน้ำและผลึกน้ำแข็งปะทะกัน
- กลายเป็นเม็ดฝนหรือลูกเห็บ ยิ่งลมพัดแรงในบรรยากาศชั้นบนลูกเห็บยิ่งใหญ่
4. การเกิดเมฆคิวมูโลนิมบัส เป็นเมฆขนาดใหญ่ที่ยอดทะลุไปถึงชั้นโทรโพสเฟียร์ชั้นบน บ่อยครั้งเกิดพายุฟ้าคะนอง ลม แรง ฟ้าผ่า และบางครั้งมีลูกเห็บ เมื่ออากาศร้อนจัดจากพื้นดินลอยตัวขึ้นไปเจออากาศเย็นจัดที่ระดับ 5,500 เมตร จะเกิดการควบแน่นอย่างรุนแรง
- ก่อตัว เป็นเมฆคิวมูโลนิมบัส
- ทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง หรือที่เราเรียกว่า พายุฤดูร้อน สรุปง่าย ๆ:ช่วงบ่ายแก่ ๆ พื้นดินร้อนจัด
- อากาศอุ่นลอยตัวสูง
- ไอน้ำควบแน่นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่
- ถ้าอากาศชั้น บนไม่เสถียร ก็จะกลายเป็นพายุฤดูร้อน