
ปานเทพ พา ผสห.ร้านทอง ร้อง บช.ก.เร่งรัดคดีบริษัทค้าทอง SCT ฉ้อโกงประชาชนและฟอกเงิน มูลค่าความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท
วันที่ 18 เม.ย.68 ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กทม. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พากลุ่มผู้เสียหายจากการซื้อขายทองคำจาก SCT จำนวนกว่า 20 คน เข้ายื่นหนังสือเร่งรัดให้ บก.ปคบ.พิจารณาดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องบริษัท SCT ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน คดีฟอกเงินและข้อหาอื่นๆ
นายปานเทพ เปิดเผยว่า มีผู้เสียหายจากการซื้อขาย ฝาก ตลอดจนให้ลงทุนทองคำในบริษัท ซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส์ เทรด จำกัด (SCT) ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีพฤติกรรม
1. หลอกให้ผู้เสียหายซื้อขายทอง จากบริษัท SCT โดยให้ราคาต่ำกว่าตลาด แต่สุดท้ายไม่ได้ทอง
2. หลอกให้ผู้เสียหายขายทองโดยให้ราคาสูงกว่าตลาด จะชำระเงินให้ทันที แต่ให้รอรับการชำระเงิน 2-9 วัน แต่สุดท้ายผู้เสียหายไม่ได้เงิน
3. หลอกผู้เสียหายที่เป็นร้านทองให้เอาทองและเงินมาวางเป็นหลักประกัน(ฝากทอง) เพื่อเป็นเครดิตในการชำระเงินได้สูงสุด 21 วัน หรือให้ดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปี แต่สุดท้ายไม่ได้รับทองคืน
4. หลอกให้ผู้เสียหายมาล้อมทองโดยคิดค่าหลอมทองถูกกว่าราคาตลาดแต่สุดท้ายผู้เสียหายไม่ได้ทองคืน
5. บอกให้ผู้เสียหายเปิดบัญชีเทรดSpot ทองคำเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD) โดยไม่แน่ชัดว่าได้มีการขออนุญาตการทำทุรกรรมดังกล่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วหรือยังแต่สุดท้ายผู้เสียหายลงทุนและไม่ได้เงินกลับคืนมา
6. มีพฤติการณ์หลอกให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน สร้างและพัฒนาระบบแอพพลิเคชั่นเพื่อซื้อขายทองคำโดยอ้างว่า บริษัท SCT กำลังพัฒนาให้มีการเติบโตยิ่งขึ้นทั้งทั้งที่ความเป็นจริงบริษัทดังกล่าวขาดสภาพคล่องทางการเงิน
7. หลอกให้ผู้เสียหายบางส่วนลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความโดยอ้างว่าจะผ่อนชำระหนี้ให้เพื่อบิดเบือนคดีอาญาให้เป็นคดีแพ่ง
นายปานเทพ กล่าวต่อโดยผู้เสียหายได้แจ้งให้ทราบถึงพฤติการณ์ว่าได้มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเจตนาฉ้อโกงประชาชนมาตั้งแต่ต้นซึ่งบริษัท SCT ได้มีการชักชวนให้ซื้อขายทองทองคำผ่าน open chat ในแอพพลิเคชั่นไลน์ เพจเฟซบุ๊ก ชื่อ SCT TradePlus by SCT Gold และแอพลิเคชั่น ทำให้ผู้เสียหายหลายรายถูกหลอกให้เสียเงิน ทองคำ ซื้อทองไม่ได้รับทอง ขายทองไม่ได้เงิน ฝากทองไม่ได้คืน และลงทุนไม่ได้รับเงินคืนโดยมูลค่าค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
บริษัท SCT ได้ปิดทำการทั้งใน กทม.ที่อาคาร จันทร์สว่าง และที่ทำการในจังหวัดนครราชสีมา 3 สาขา โดยใช้ชื่อร้านว่า “ห้างทองแสงมณีโคราช” ทำการปิดร้าน ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อีกต่อไป แต่ยังเปิดโอกาสผ่านแอพพลิเคชั่นให้ประชาชนทั่วไปยังสามารถนำเงินมาลงทุนโดยอ้างว่าเป็นการออมทองผ่านแอพพลิเคชั่นต่อไปได้
พฤติการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายที่มีมูลค่าความเสียหายสูงและมีประชาชนเป็นผู้เสียหายจำนวนมากส่งผลต่อภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจและกระทบต่อการลงทุนโดยภาพรวมอันเป็นการหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความให้เป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยการหลอกลวงดังกล่าวนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้เสียหายหรือทำให้ผู้เสียหายทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ์โดยทุจริตอันเป็นเท็จต่อประชาชน จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
โดยมีกลุ่มผู้เสียหายประกอบด้วย 1. ร้านทองทั่วประเทศ กว่า 50 ร้าน 2. ร้านรับซื้อทองเก่า 3. ผู้ลงทุน 4. ช่างทำทองรูปพรรณนำทองมาขายและกลุ่มผู้เสียหายอื่นๆ ซึ่งยังมีผู้เสียหายอีกจำนวนมากยังไม่มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. มาแจ้งความไว้ก่อนหน้าแล้ว(31 มี.ค.68)
วันนี้ตนจึงพาผู้เสียหายมายื่นร้องขอให้ บก.ปคบ. พิจารณาดำเนินคดีต่อบริษัท SCT ในข้อหาฉ้อประชาชน และข้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและขอให้พิจารณาดำเนินการออกหมายจับทั้งยึดและอายัดทรัพย์สินตาม พ.ร.บ. การฟอกเงิน ขอให้เร่งรัดดำเนินการดังกล่าวตามกฎหมายเพื่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเพื่อหยุดยั้งความเสียหายต่อไป
เบื้องต้น พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.นิตติโชติ เพ็ญจำรัส รอง ผบก.ปอศ.รับหนังสือร้องเรียนดังกล่าวพร้อมทั้งชี้แจงการทำคดีให้ผู้เสียหายทราบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ผู้เสียหายทยอยเข้าแจ้งความร้องทุกข์ พงส.บก.ปคบ.ตั้งแต่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช พิจารณาแล้วมีคำสั่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้ ประกอบด้วย บก.ป. บก.ปคบ. บก.ปอศ. เนื่องจากผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการร้านทองรายย่อย ได้นำทองคำไปฝากขายด้วยการหลอมเป็นก้อน แต่ปรากฎว่าไม่ได้คืนทั้งทองหรือเงินที่อ้างว่าขายทองคำดังกล่าวเลย มีความเสียหายจำนวนมาก
ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนได้ดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้เกี่ยวข้องบริษัท SCT ไปแล้ว 4 เส้นจากทั้งหมด 7 เส้น กำลังรอส่วนที่เหลืออยู่ เร่งสอบปากคำผู้เสียหายก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐานพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ รายงาน