ผู้เสียหายทนายธรรมราช ร้อง ยุติธรรมช่วยเหลือ ปมถูกศาลมีคำสั่งยึดบ้าน หลังปรึกษาว่าจ้างให้ทนายธรรมราชทำคดีไฟแนนซ์

ผู้เสียหายทนายธรรมราช ร้อง ยุติธรรมช่วยเหลือ ปมถูกศาลมีคำสั่งยึดบ้าน หลังปรึกษาว่าจ้างให้ทนายธรรมราชทำคดีไฟแนนซ์

จากกรณีเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นางชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง พร้อมด้วยนายแทนคุณ จิตต์อิสระ หรืออี้ แทนคุณ อดีต สส.กทม. อดีตเลขานุการคณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย ได้พาผู้เสียหาย น.ส.กัญฐิกา (สงวนนามสกุล) น.ส.พฤกษา (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี และ น.ส.ภาริตา (สงวนนามสกุล) 23 ปี น้องสาวของ น.ส.พฤกษา เข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับทนาย ธ. และทีมงาน เนื่องจากใช้บริการเรื่องการว่าความ จนท้ายที่สุดศาลกลับมีคำสั่งยึดบ้าน ในขณะที่ทนายความ ธ. กลับไม่ได้มีการให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด ทั้งที่ได้รับเงินว่าจ้างทนายความไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ วันที่ 6 พ.ย. ที่ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นางชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง พร้อมด้วยนายแทนคุณ จิตต์อิสระ หรืออี้ แทนคุณ อดีต สส.กทม. อดีตเลขานุการคณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย ได้พาผู้เสียหาย น.ส.กัญฐิกา (สงวนนามสกุล) น.ส.พฤกษา (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี และ น.ส.ภาริตา (สงวนนามสกุล) 23 ปี น้องสาวของ น.ส.พฤกษา เข้าขอความช่วยเหลือต่อกระทรวงยุติธรรม กรณี ใช้บริการจากนายธรรมราช สาระปัญญา หรือทนายธรรมราช และทีมงาน จนถูกศาลมีคำสั่งอายัดบ้าน เพื่อหาทางออกในส่วนของกรมบังคับคดีที่ยึดทรัพย์ไว้ขายทอดตลาด โดยมีนายสุรไกร นวลศิริ หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้แทนรับเรื่อง

น.ส.พฤกษา (สงวนนามสกุล) ผู้เสียหาย กล่าวว่า น้าของตนได้นำรถไปจำนำกับญาติของทนายคนดังกล่าว โดยทางทนายเป็นผู้แนะนำให้ไป เพื่อที่จะได้นำเงินจากการจำนำรถในส่วนนี้ไปจ้างเขาว่าความให้ เเละพอน้าสาวของตนได้เงินส่วนนี้มาจากการเอารถไปจำนำกับญาติของทนาย จำนวน 40,000 บาท จึงเอาไปจ้างทนาย ธ. ในราคา 12,000 บาท โดนหักดอกเบี้ยไปด้วย และเหลือเงินติดตัวเพียง 20,000 กว่าบาท ปรากฏว่าในกระบวนการขึ้นศาล ทางทนายคนนี้ได้ขึ้นศาลให้แค่ครั้งเดียว เห็นแค่ครั้งเดียว และยังให้ทนายคนอื่นมาว่าความให้แทน ซึ่งตนจ้างทนาย ธ. ไม่ได้จ้างอีกคนมาว่าความให้ ดังนั้น ทนาย ธ. คือต้นเรื่องแต่กลับมาไม่มาดำเนินการอะไรให้ แล้วพอเรามีปัญหาเดือดร้อน อยากสอบถามทนาย ธ. ก็สอบถามไม่ได้ ติดต่อไม่ได้ ส่งข้อความอะไรไปก็ไม่ติดต่อกลับมา จนล่วงเวลามา 2 ปี กระทั่งมีข่าวเรื่องจำนำรถออกไป ทนาย ธ. กลับส่งทนายอีกคนให้โทรศัพท์มาสอบถามว่าเป็นยังไงบ้าง มีความสุขหรือยัง สบายดีไหม ตนอยากถามว่าคนที่จะถูกยึดบ้านโดยคำสั่งศาล มันจะสบายดีหรือ ทั้งนี้ พวกตนตามเรื่องจนสุดจะยื้อแล้วเหมือนกัน เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยละเลย ตามเรื่องตลอด อยากคุยกับเขา แต่เขาไม่เคยมาให้เห็นเลย ตนไม่รู้จะทำยังไง จนมาเห็นข่าวกรณีรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ดูคาติ (Ducati) เลยรู้สึกว่าเราอาจจะโดนแล้ว จึงต้องมาร้องขอความช่วยเหลือจากคุณต้นอ้อและคุณอี้แทนคุณ

น.ส.พฤกษา กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวตน จากทนาย ธ. มันแย่ลงมาก ๆ ไม่เคยคิดว่าจะต้องมายืนอยู่จุดนี้ มันแย่จนมีครั้งหนึ่ง แม่ตน ตนเอง และน้องสาว เคยคิดจะขับรถยนต์ไปให้สิบล้อชนตาย เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ เนื่องจากตอนนั้นมืดแปดด้านจริง ๆ เพราะทางนั้น เขาก็เป็นทนายความ ขณะที่พวกตนก็กลัวเขาจะฟ้องกลับ หากไปมีปัญหากับเขา เราไม่ได้รู้กฎหมายไม่ได้เรียนจบสูงเหมือนเขา นอกจากนี้ วานนี้ (5 พ.ย.) ที่เขาอ้างว่าไม่รู้จักตนและน้องสาว ตนจะบอกว่า “พี่คะ วันที่พี่ไปฟังว่าความที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา พี่กับหนูยังนั่งอยู่ด้วยกันอยู่เลยค่ะ พี่ยังถามหนูอยู่เลยว่าลูกความให้การรู้เรื่องไหม ใช้ได้ไหม” พร้อมยืนยันว่า การออกมาร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือในครั้งนี้ ไม่มีใครมาว่าจ้างตน ที่พวกตนออกมาก็เพราะว่าเดือดร้อนจริง แล้วการที่ทนายคนดังกล่าวมาบอกว่าไม่รู้จักพวกตน เป็นไปไม่ได้ เพราะวันที่พวกตนเอารถไปจำนำ เขายังเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวพวกตนข้างทางอยู่เลย

น.ส.พฤกษา กล่าวต่อว่า สำหรับรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ มิตซูบิชิ ที่น้าของตนติดปัญหาเรื่องไฟแนนซ์ แล้วอยากให้ทนายช่วยว่าความคดีนั้น ด้วยเพราะว่าพวกตนเงินไม่มี และเห็นว่าทนายคนดังกล่าวมีความรู้เรื่องไฟแนนซ์ จึงอยากขอคำปรึกษาและว่าจ้าง แต่ได้แจ้งไปว่าพวกเราไม่มีเงิน และอยากจะเอารถไปจำนอง ทางทนายจึงได้แนะนำให้นำรถไปจำนองกับญาติของเขาแทนที่จังหวัดสระแก้ว พวกตนก็เชื่อใจ จึงต้องขับรถจากจังหวัดนครราชสีมา ไปที่ จ.สระแก้ว โดยเมื่อไปถึง พบว่าสถานที่เป็นเหมือนโกดังเก็บของ และอีกฝั่งเป็นลานมันสำปะลัง และเมื่อจำนองเสร็จ ได้เงินมา 40,000 บาท โดนหักดอกเบี้ย 4,000 บาท และนัดจ่ายเงินว่าความให้ทนาย ธ. ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ใน จ.สระแก้ว จำนวน 12,000 บาท แต่ต่อมาเมื่อต้องศาล ทนายคนดังกล่าวได้ส่งตัวแทนมาว่าความแทน และเมื่อศาลให้คืนรถ ตนก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้เลย จนมีหมายศาลมายึดบ้าน อีกทั้งเมื่อขอให้ทนายคนดังกล่าวช่วยเหลือเขากลับตอบว่า รอให้ขายทอดตลาดก่อนค่อยไปไถ่ถอนคืน ทำให้ตนและครอบครัวเดือดร้อนอย่างสาหัส ทั้งนี้ ตนมีคลิปเสียงหลักฐานการพูดคุยเพื่อใช้ในการยืนยันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียบร้อยแล้ว

น.ส.พฤกษา กล่าวด้วยว่า สำหรับบ้านหลังดังกล่าวที่ถูกศาลออกคำสั่งยึดทรัพย์นั้น เป็นบ้านที่ซื้อมาโดยน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่ตนเมื่อสมัยทำงานได้เงินเดือนเพียง 4,000 บาท แต่มาวันนี้กลับต้องเผชิญเรื่องดังกล่าว ตนไม่เคยคิดว่าจะเจอทนายความแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าจะถูกฉ้อโกง และทำให้ตนกลัวการเจอทนายความหรือการปรึกษาทนายไปเลย หลังจากนี้หากจะต้องว่าจ้างทนายความรายใดอีก ตนจะประเมินและตรวจสอบรายละเอียดประวัติของทนายคนนั้นให้มากขึ้นและหวังว่าจะไม่เจอคนแบบนี้อีกในชีวิต

ด้าน น.ส.ภาริตา (สงวนนามสกุล) 23 ปี น้องสาวของ น.ส.พฤกษา กล่าวว่า ตนสงสารพ่อแม่เพราะว่า เขาคงรู้สึกแย่พอสมควร แม้กระทั่งวันนี้ที่ตนต้องเดินทางเข้ามาที่กรุงเทพฯ เพื่อมาร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ พ่อแม่คงคิดว่าตนเองนั้นปกป้องลูก ๆ ไม่ได้ แต่พวกตนก็ต้องทำเพื่อครอบครัว แม้ทุกข์ทรมานใจแค่ไหน ถ้าไม่มีคุณต้นอ้อและคุณอี้แทนคุณ เข้ามาช่วยเหลือ ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครหยิบยื่นความช่วยเหลือนี้ให้ ในเมื่อทนาย ธ. คือตัวต้นเรื่องแต่กลับไม่มีการติดต่อ

ขณะที่ นายสุรไกร นวลศิริ หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีผู้เสียหายมายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อกระทรวงยุติธรรม ในส่วนของประเด็นที่รับฟังจากผู้ร้องทุกข์นั้น พบว่ามีอยู่ 3 ช่องทางที่อยู่ในภารกิจของกระทรวงยุติธรรม ที่พอจะไปตรวจสอบดำเนินการได้ ประการที่ 1 เรื่องของการถูกบังคับคดี โดยจะได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม จะขอศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมก่อน ส่วนประการที่ 2 คือ กรณีที่ผู้ร้องทุกข์จะยื่นให้มีการตรวจสอบมรรยาททนายความนั้น ทางกระทรวงยุติธรรมจะดำเนินการประสานไปยังสภาทนายความฯ เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และประการที่ 3 กระทรวงยุติธรรมมีกองทุนยุติธรรมที่คอยช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน ไม่ว่าจะมีการถูกฟ้องขึ้นมาแล้วจำเป็นต้องใช้ทนายความ ทางกระทรวงยุติธรรมมีกองทุนยุติธรรมที่จะช่วยเหลือการต่อสู้คดี รวมถึงหากจะต้องมีการโต้แย้งสิทธิ์ต่าง ๆ ที่จะต้องมีการฟ้องผู้เกี่ยวข้องที่คิดว่าทำให้ท่านเสียหาย ทางเราก็มีเงินกองทุนยุติธรรมตรงนี้ที่จะช่วยเหลือในค่าทนายความ ทั้งนี้ ทางกระทรวงฯ จะต้องไปตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริงให้เรียบร้อยก่อน และเมื่อมีผลอย่างไรก็จะรีบแจ้งกลับทางผู้ร้องและผู้ที่เกี่ยวข้องให้ทราบความคืบหน้าเป็นระยะ

ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ