รวบบัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นตำรวจหาดใหญ่ หลอกว่าเกี่ยวกับฟอกเงินให้โอนตรวจสอบสูญเงิน 1.5 ล้าน
ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่สร้างเดือดร้อนให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์
โดยกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เร่งทำการสืบสวนติดตามจับกุมขบวนการโทรแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทเอไอเอส โทรศัพท์มาลวงผู้เสียหาย อ้างว่าผู้เสียหายเคยลงทะเบียนเปิดใช้งานเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทเอไอเอส สาขาหาดใหญ่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน จากนั้น ได้มีการลวงทำทีให้ผู้เสียหายติดต่อทางไลน์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หาดใหญ่ จากนั้นได้ปรากฏไลน์ชื่อบัญชี “สถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ ” เข้ามาที่ไลน์ส่วนตัวของผู้เสียหาย และได้มีการส่งข้อมูลหน้าหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ชื่อ-สกุลของบุคคลคนหนึ่งซึ่งผู้เสียหายไม่เคยรู้จัก พร้องกับได้ส่งข้อมูลบัญชีธนาคารกรุงเทพสาขาหาดใหญ่ และภาพถ่ายทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายให้ผู้เสียหายทราบ แล้วได้มีการแจ้งว่าผู้เสียหายมีส่วนพัวพันกับคดีฟอกเงิน ซึ่งต้องให้ผู้เสียหายโอนเงินไปทำการตรวจสอบบัญชีและลงประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะเปลี่ยนมาโทรผ่านไลน์พูดคุยกันจนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินจากบัญชีธนาคารต่างๆ ของตนให้ตรวจสอบจำนวน 10 ครั้ง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 รวมเป็นเงิน 1,436,983 ล้านบาท
ต่อมา เมื่อผู้เสียหายโอนเงินจนครบทุกบัญชีธนาคารที่ตนมีแล้ว ได้ตรวจสอบข้อมูลที่คนร้ายซึ่งแอบอ้างส่งข้อมูลมาให้ทราบทางไลน์ พบว่า บัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจที่คนร้ายส่งมาแอบอ้างมีการลบด้วยปากกาแดงที่เลขประจำตัว และได้มีการโทรศัพท์ปรึกษากับเพื่อนจึงทราบว่าตนถูกหลอก จึงเดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ให้ดำเนินคดีกับคนร้าย
ต่อมา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้พิจารณาอนุมัติหมายจับ น.ส.ณัฐสุดา อายุ 26 ปี หนึ่งในบัญชีม้าที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 490/2567 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด , เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดทางอาญาอื่นใด ”
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงสั่งการให้ พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. เร่งรัดให้ พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. กำชับให้ พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี , พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. เร่งรัดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 4 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ซึ่งได้รับมอบหมายให้รีบทำการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการที่ถูกออกหมายจับดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว
ต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม 2567 เจ้าหน้าที่ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ได้ร่วมจับกุมตัว
น.ส.ณัฐสุดา อายุ 26 ปี ภูมิลำเนา ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 490/2567 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2567
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด , เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดทางอาญาอื่นใด ”
โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าบ้าน หมู่บ้านสระแก้ววิลล์ ตำบลพระประโทน อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม
ในชั้นจับกุม ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่าตนเรียนจบชั้นป. 6 ในพื้นที่ จ.ชลบุรี จากนั้น ช่วงอายุประมาณ 22 ปี ได้มาทำงานเป็นพนักงานประจำร้านสะดวกซื้อในพื้นที่เมืองนครปฐม ต่อมา เมื่อช่วงประมาณเดือนมกราคม 2566 ตนประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากลูกของตนไม่สบาย จึงได้หาช่องทางเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย ได้มีเพื่อนซึ่งไม่สนิทได้ติดต่อมาให้ตนไปทำงานที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา แต่ตนตอบได้ปฏิเสธไปเนื่องจากต้องอยู่ดูแลลูกที่ไม่สบาย ตนจึงได้คิดหาวิธีการหาเงินโดยที่ไม่ต้องห่างจากลูก จนได้เจอเพจรับซื้อบัญชีธนาคาร ชื่อว่า “รับซื้อบัญชีธนาคาร” จึงเกิดความสนใจ จึงได้ติดต่อไปยังบุคคลที่โพสต์ดังกล่าว จากนั้นบุคคลดังกล่าวได้ให้ตนไปเปิดบัญชีธนาคาร โดยบุคคลดังกล่าวแจ้งว่าจะนำบัญชีธนาคารไปใช้เกี่ยวกับเว็ปไซต์พนันออนไลน์ SLOT โดยเสนอให้ค่าจ้างในการเปิดบัญชี บัญชีละ 2,000 บาท ตนจึงได้ไปเปิดบัญชีธนาคารกรุงเทพ ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารออมสิน ธนาคารกสิกร ธนาคารกรุงไทย รวมทั้งหมด 5 บัญชีธนาคาร ซึ่งตนไม่สามารถจดจำเลขที่บัญชีแต่ละธนาคารได้ พร้อมกับเปิดบัตร ATM และซิมโทรศัพท์ซึ่งใช้ผูก OTP กับบัญชีธนาคารทั้ง 5 บัญชี หลังจากนั้นตนได้นำบัญชีธนาคารและบัตร ATM พร้อมกับรหัสผ่าน และเบอร์โทรศัพท์ซึ่งใช้ผูก OTP กับบัญชีธนาคารทั้ง 5 บัญชี ส่งไปรษณีย์ที่อยู่จำได้ว่าอยู่ในพื้นที่ตำบลอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยตนได้ค่าจ้างในการเปิดบัญชีรวม 10,000 บาท โดยตกลงกันไว้ว่าจะได้รับค่าจ้างหลังจากที่ตนได้ส่งบัญชีไปให้บุคคลดังกล่าวและบุคคลดังกล่าวได้ตรวจสอบบัญชีธนาคารว่าใช้ได้จริง จึงจะโอนค่าจ้างในการเปิดบัญชีมาให้ หลังจากที่บัญชีธนาคารไปถึงปลายทางประมาณ 2 วัน ตนจึงได้รับโอนค่าจ้างในการเปิดบัญชี โดยได้รับการโอนเงินเข้ามายังบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.ณัฐสุดา ซึ่งเป็นบัญชีของตน เป็นจำนวนเงิน 10,000 บาทจริง บุคคลดังกล่าวยังได้ให้ข้อมูลว่าจะไม่รับบัญชีธนาคารที่มีชื่อซ้ำกับบุคคลเดิมอีก และไม่รับบัญชีธนาคารอื่นที่ไม่ใช่ 6 ธนาคารหลัก ซึ่งบุคคลดังกล่าวแจ้งว่าให้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยาด้วย เนื่องจากยังขาดอีก 1 ธนาคาร แต่ตนไม่สามารถเปิดบัญชีได้เนื่องจากติด blacklist กับธนาคารกรุงศรีอยุธยาอยู่ หลังจากนั้น วันที่ 27 มิถุนายน 2567 บัญชีเฟซบุ๊กที่ของตนใช้ติดต่อกับบุคคลดังกล่าวก็ไม่สามารถเข้าใช้งาน ทำให้ตนไม่ได้ติดต่อกับบุคคลดังกล่าวอีกเลย จนมาถูกจับกุมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัว น.ส.ณัฐสุดา นำส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวแจ้งเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนว่าในสังคมปัจจุบัน มิจฉาชีพมีเล่เหลี่ยมกลโกงมากมายหลายรูปแบบ ขอให้ประชาชนได้โปรดใช้สติในการใช้ชีวิตในสังคม อย่างหลงเชื่อกลโกงต่างๆ ของมิจฉาชีพซึ่งมีอยู่มากมาย อีกทั้งแจ้งเตือนให้ระมัดระวังการถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้า อย่าให้บัญชีธนาคารหรือเปิดบัญชีให้บุคคลอื่นนำไปใช้เด็ดขาดเนื่องจากอาจเป็นช่องทางให้คนร้ายนำบัญชีไปใช้ในการก่ออาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมอย่างมหาศาล ตลอดจนโทษกรณีการเปิดบัญชีม้า ณ ปัจจุบัน มีอัตราโทษหนัก คือ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (บัญชีม้า) นอกจากนี้ ผู้เป็นธุระจัดหา จ้างผู้อื่นมาเปิดบัญชีม้าก็มีโทษหนักเช่นเดียวกัน คือ จำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (คนจัดหาบัญชีม้า) หากไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าบุคคลที่เข้ามาเสนอผลประโยชน์ นั้นจะเป็นมิจฉาชีพ หรือไม่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด มายังเพจ “สืบสวนนครบาล IDMB” ได้ตลอด 24 ชม. แม้จะเป็นคดีที่มีความเสียหายไม่มาก แต่หากเป็นคดีที่ประชาชนเดือดร้อน เราทำทันที ตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ นครบาล รายงาน