เรื่องนี้มีที่มาจาก เว็บไซต์ต่างประเทศ ได้มีการรายงานเรื่องราวของ นูรุล สยาซวานิ สาวชาวมาเลเซีย ซึ่งเธอมักจะโพสต์ชีวิตประจำวันของเธอบนเฟซบุ๊กในฐานะที่เป็นผู้ดูแลคนป่วยซึ่งก็คือสามีของเธอเอง ที่ป่วยเป็นอัมพาต ไม่สามารถเดินได้ จนทำให้มีผู้ติดตามมากกว่า 32,000 คน และให้กำลังใจเธอมาตลอด โดยในแต่ละวัน เธอมีกิจกรรมหลัก ๆ คือต้องป้อนอาหารผ่านสายยางทางจมูกให้สามี เปลี่ยนผ้าอ้อมและช่วยอาบน้ำให้เขา นอกจากนี้เธอยังต้องคอยดูแลลูกของพวกเขาด้วย

แต่แล้ว ผู้ติดตามที่เอาใจช่วยภรรยาหัวใจแกร่งคนนี้ที่อุทิศตัวให้สามีมาโดยตลอดก็ต้องตกใจ เมื่อได้รับรู้ว่า หลังจากที่สามีของเธอหายดี เขาไม่เพียงขอหย่าขาดจากเธอ แต่ยังไปแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่อีกด้วย หลังจากที่สยาซวานิได้โพสต์แสดงความยินดีกับอดีตสามีของเธอและเจ้าสาวของเขาบนเฟซบุ๊ก

เธอโพสต์ข้อความระบุว่า ขอแสดงความยินดีกับสามีของฉัน ฉันหวังว่าคุณจะมีความสุขกับคนที่คุณเลือก อีฟฟา ไอซาม (ชื่อเจ้าสาว) โปรดดูแลเขาให้ดีแบบที่ฉันเคยทำ ฉันหมดเรื่องกับเขาแล้ว ตอนนี้ถึงคราวของคุณที่จะต้องรับช่วงต่อ แต่ต่อมาเธอก็ได้ลบโพสต์ดังกล่าวทิ้งไป

ซึ่งจากการรายงานพบว่า การหย่าของสยาซวานิและอดีตสามีเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ชาวโซเชียลของมาเลเซียถึงกับช็อกไปตาม ๆ กัน หลายคนแสดงความเห็นว่า ไม่อยากจะเชื่อที่คนเราจะกล้าตอบแทนความดีของผู้หญิงคนหนึ่งด้วยการทอดทิ้งเธอไปหาผู้หญิงอื่น โดยเฉพาะผู้ติดตามเธอบนเฟซบุ๊กและได้เห็นการอุทิศตัวของสยาซวานิที่คอยดูแลสามีที่ป่วยติดเตียงมาตลอด 6 ปีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

อย่างไรก็ตาม แม้ชาวเน็ตจำนวนมากจะแสดงความไม่พอใจต่อพฤติกรรมของอดีตสามี แต่สยาซวานิก็ยืนยันว่า สามีของเธอได้ทำหน้าที่เป็นสามีที่ดีอย่างสมบูรณ์แล้ว และขอให้ชาวเน็ตเลิกตำหนิและตามรังควานเขากับภรรยาใหม่ พร้อมกับเสริมว่า เธอและอดีตสามีตกลงกันว่าจะร่วมมือกันช่วยเลี้ยงดูลูกสาวของพวกเขา 

แต่กระแสของชาวเน็ตก็ยังคงรุมวิจารณ์และตำหนิ อดีตสามีของเธออย่างไม่ลดละ มองว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักบุญคุณคนอื่น ทำให้สยาซวานิตัดสินใจลบโพสต์เดิมของเธอทิ้งไป เพื่อกันอดีตสามีและภรรยาใหม่ของเขาออกไปจากการโดนรุมวิจารณ์ พร้อมทั้งโพสต์ขอโทษคู่บ่าวสาวที่ทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าของการโจมตี หลังจากที่โพสต์ของเธอกลายเป็นไวรัล

นอกจากนี้ สยาซวานิยังขอให้แฟน ๆ ผู้ติดตามของเธอละเว้นการตำหนิอดีตสามีของเธอและการกระทำของเขา โดยชี้แจงว่าโพสต์ของเธอไม่มีเจตนาจะเปิดโปงหรือตำหนิใคร แต่ทำไปเพื่อป้องกันการใส่ร้ายป้ายสีเท่านั้น

ข้อมูล odditycentral.com