แม่ร้อง ปวีณา ลูกสาววัย 13 ปี ถูก ปู่เขย อายุ 62 ปี ย่ำยีตั้งแต่ 7 ขวบเรื่อยมา 6 ปี
วันนี้ 17 ตุลาคม 2567 นางเอ อายุ 42 ปี ผู้เป็นแม่ มีอาชีพเป็นครู ได้พา ด.ญ.บี ลูกสาว อายุ 13 ปี (ทั้งสองนามสมมุติ) เดินทางจากจ.สุรินทร์ มาพบ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี หลังจากที่ก่อนหน้านี้วันที่ 9 ต.ค.67 สองแม่ลูกได้เคยเข้าร้องทุกข์ต่อนางปวีณา โดย นางเอ แจ้งว่า ขอความช่วยเหลือ ด.ญ.บี ถูก "ปู่เขย" อายุ 62 ปี ทำอนาจารและข่มขืนมาตั้งแต่ 7 ขวบเรื่อยมา 6 ปี จนล่าสุดวันที่ 26 ก.ย.67 ปู่เขยก็ยังพยายามจะข่มขืนขณะขับรถมาส่งเด็กขึ้นรถทัวร์เพื่อมาหาแม่ที่กรุงเทพฯ แต่ลูกสาวดิ้นรนขัดขืนและอ้างว่ากลัวจะขึ้นรถไม่ทันจึงรอดมาได้
นางเอ กล่าวว่า แม่พาลูกไปอยู่กับปู่ย่าที่จ.สุรินทร์ ตอนปี 2561 ที่โควิด-19 ระบาดเพราะห่วงลูกจะติดโควิด โดยบ้านของปู่ย่าจะมีบ้านย่าเล็ก (น้องสาวย่า) กับปู่เขยอยู่ใกล้ๆ โดยปู่เขยจะมาเล่นกับลูกสาวเป็นประจำและพาไปดูปลา ดูไก่ ดูหมูที่เลี้ยงไว้ที่นา เพราะลูกสาวบอกว่าโตขึ้นอยากจะเป็นสัตวแพทย์รักษาสัตว์ หลังลูกไปอยู่ไม่นานก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเก็บตัว พูดน้อย ไม่ร่าเริง และหยุดเรียนบ่อย
พอลูกเข้าเรียนม.1 ครูที่โรงเรียนบอกว่าลูกสาวไม่มีเพื่อนสนิท สุขภาพจิตน้องแย่มาก แม่จึงพาลูกไปตรวจที่โรงพยาบาลอำเภอ หมอให้ลูกสาววาดภาพอะไรก็ได้ที่อยากวาด ก็พบว่าลูกสาววาดภาพตัวเองให้รถสิบล้อทับตาย หมอจึงส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัด จิตแพทย์ตรวจพบว่าลูกสาวเป็นโรคซึมเศร้าระดับทำร้ายตัวเองอันตรายมาก มีการกรีดแขน และพยายามฆ่าตัวตาย พร้อมกับเป็นโรคแพนิก วิตกกังวล มีอาการมือสั่นหายใจไม่ออกเมื่อมีความเครียด เมื่อลูกสาวมีอาการเครียดจะกรีดแขนตัวเอง ได้เเชตมาบอกแม่ว่าเหนื่อย อยากตายให้มันจบๆ ไปอยู่หลายครั้ง เเม่จึงได้สอบถามกับลูกแต่ก็ไม่เคยได้คำตอบอะไร
ก่อนสอบปลายภาคเรียนที่ 1 ม.1 ลูกเครียดจัดต้องไปนอนโรงพยาบาล 5 วัน แม่ขอให้ลูกไปสอบให้เสร็จแล้วจะย้ายมาเรียนอยู่กับแม่ที่กรุงเทพฯ วันที่ 26 ก.ย.67 ลูกก็นั่งรถทัวร์มาหาแม่ที่กรุงเทพฯ ระหว่างทางก็แชตคุยกับแม่ ลูกว่า “เราสามารถแจ้งความจับญาติตัวเองได้ไหม ข้อหาพรากผู้เยาว์ เขาทำเขาขู่หนูได้ แต่หนูจะไม่ยอมให้ไปทำกับน้องสาวหนูเด็ดขาด”
เมื่อถึงกรุงเทพฯ แม่กับพ่อไปรับลูกสาวมาที่บ้าน ลูกจึงเล่าให้ฟังว่า ถูก “ปู่เขย” ข่มขืนตั้งเเต่ 7 ขวบ ที่เริ่มมาอยู่บ้านปู่ย่า โดยปู่เขยจะหลอกพาไปดูสัตว์ที่ทุ่งนา และจับหน้าอก จับอวัยวะเพศ กอด หอมแก้ม พออายุ 9 ขวบ ก็ถูกปู่เขยข่มขืนเรื่อยมาที่บริเวณกระท่อมกลางทุ่งนา ริมบ่อน้ำ หลังคอกหมู หรือแม้กระทั่งเข้ามาทำในบ้านปู่ย่า พาไปข่มขืนที่บ้านตัวเองด้วย และข่มขู่อย่าไปบอกใครมิฉะนั้นจะทำร้ายและฆ่าคนในครอบครัวให้ตาย ลูกจึงกลัวไม่กล้าบอกใคร
กระทั่งลูกเรียนได้เรียนวิชาสุขศึกษา เกี่ยวกับเรื่องเพศศึกษาจึงเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดกับตัวเองตั้งแต่เด็กมันคืออะไร ทำให้ลูกสาวรู้สึกว่าตัวเองสกปรก รังเกียจตัวเอง เครียดแค้นไม่มีทางออกบอกใครไม่ได้จึงทำร้ายตัวเองและอยากฆ่าตัวตาย เเละได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเป็นการถูกล่วงละเมิดทางเพศจึงได้ออกห่างปู่เขยเเละเริ่มเสียงดังโวยวายปู่เขยจึงไม่กล้าเขาใกล้
ลูกสาวยังบอกอีกว่า ก่อนสอบปลายภาคเรียนที่ 1 เครียดจัดจนต้องไปนอนโรงพยาล 5 วัน เพราะเห็นปู่เขยจะเข้าไปจับก้นน้องสาวอายุ 10 ขวบ จึงกลัวว่าน้องสาวจะถูกกระทำไปด้วยอีกคน ประกอบกับช่วงเช้าวันที่ 26 ก.ย.67 ที่ลูกจะนั่งรถทัวร์มาหาแม่ที่กรุงเทพฯ ปู่เขยอาสาขับรถมาส่งที่ท่ารถและพยายามจะข่มขืนลูกสาวอีกลูกจึงตัดสินใจเล่าให้แม่ฟัง หลังแม่ทราบเรื่องจึงได้พาลูกไปแจ้งความที่สภ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งตัวลูกสาวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล โดยปู่เขยข่มขู่จะฟ้องแม่กลับ แม่เกรงว่าครอบครัวจะไม่ปลอดภัย จึงตัดสินใจเข้าขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ
หลังรับเรื่องวันที่ 9 ต.ค.67 นางปวีณา ได้ประสาน พ.ต.อ.วรพงศ์ มดทอง ผกก.สภ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ และประสาน นายประหยัด ต๊ะสุยะ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.สุรินทร์ นายสุพล เสตเขตต์ หัวหน้าบ้านพักเด็กเเละครอบครัวจ.สุรินทร์ พร้อมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ พาแม่และเด็กหญิงไปพบ ผกก. และพาเด็กไปสอบสหวิชาชีพที่สำนักงานอัยการ ก่อนที่ตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับปู่เขย ในข้อหา 1.ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี, 2.ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี 3.พาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเพื่อการอนาจาร 4.พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเพื่อการอนาจาร
นางปวีณา กล่าวว่า เคสนี้เป็นเคสที่น่าสงสารมาก น้องถูกกระทำมาถึง 6 ปีต้องทุกข์ทรมานไม่กล้าบอกใครจนป่วยเป็นซึมเศร้าถึงขั้นจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง และใช้มีดกรีดแขนตัวเองหลายแผลมาก และน้องก็รับไม่ได้ที่ปู่เขยจะไปทำกับน้องสาว 10 ขวบอีกคนจึงได้บอกแม่ วันนี้ พ.ต.อ.วรพงศ์ มดทองผกก.สภ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ ได้รายงานมาว่าจับกุมตัวปู่เขยมาดำเนินคดีแล้ว และจะคุมตัวไปฝากขังวันนี้ ทำให้น้องหลุดพ้นจากขุมนรกมาได้ จากนี้พ่อแม่จะต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิดเพราะทุกวันนี้น้องยังต้องกินยารักษาซึมเศร้าอยู่ ซึ่งมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามให้การช่วยเหลือต่อไป
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน