ทนายเดชา พาผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดบริษัทดัง-บอสดารา พุ่งเป้าไปที่เรื่องแชร์ลูกโซ่

ทนายเดชา พาผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดบริษัทดัง-บอสดารา พุ่งเป้าไปที่เรื่องแชร์ลูกโซ่

วันนี้ 10 ตุลาคม 2567 ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม ได้พาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าไปร่วมธุรกิจกับบริษัทขายตรงชื่อดัง ซึ่งผู้เสียหายที่มาในวันนี้มีอยู่ประมาณ 20 คน แต่คนที่อยู่ในกลุ่มตอนนี้ประมาณ 500 คน แต่มีบางคนไม่สะดวกที่จะเดินทางมา เพราะอยู่ต่างจังหวัด และบางคนติดธุระส่วนตัว

สาเหตุที่มาในวันนี้เพราะเห็น พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งคณะทำงานเข้ามาจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ จึงพาผู้เสียหายให้ข้อมูลกับตำรวจในประเด็นที่เกิดขึ้นว่าเพราะเหตุใดธุรกิจของบริษัทนี้ทำให้เกิดผลกระทบกับประชาชนจำนวนมาก บางคนขายของก็ไม่ได้ แถมยังชักชวนให้เข้าไปเรียน เข้าร่วมงานอีเวนท์ แล้วยังขายฝันให้จนมีคนเชื่อ แล้วยอมลงทุน บางคนใช้เงินเกษียณที่เป็นเงินก้อนสุดท้ายมาใช้ในการลงทุน บางคนเงินเก็บหายที่เก็บมาทั้งชีวิตลงทุนจนหมด สุดท้ายกลายเป็นหนี้จนคิดสั้น

การเดินทางมาในวันนี้ไม่ใช่การบอกหรือการกล่าวหาว่า สิ่งที่บริษัททำนั้นผิดกฎหมาย แต่เพราะอะไรธุรกิจนี้ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน พร้อมกับมีการโชว์สินค้าของบริษัท แล้วมีการฉีกซองเททิ้งเพื่อเป็นการให้ดูว่าเป็นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ เนื่องจากเคยลองรับประทานแล้ว

ขณะที่ทางตัวแทนของผู้เสียหายได้ออกมาเปิดเผยถึงบริษัทกล่าวว่า ผู้เสียหายทุกคนจะเห็นธุรกิจของบริษัทนี้ในลักษณะเดียวกัน คือเริ่มจากการเห็นโฆษณาผ่านทางทีวี และโซเชียล โดยธุรกิจนี้จะมีการยิงแอดโฆษณาผ่านทางเฟซบุ๊ค ประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นช่วงหลังโควิด ตัวเองต้องการหาอาชีพเสริมเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว เลยสนใจที่จะลงเรียน ซึ่งจะเป็นการเรียนแบบออนไลน์โดยมีค่าใช้จ่ายจำนวน 98 บาทหรือ 99 บาท

โดยสองวันแรกจะเป็นการเรียนการสอนเรื่องธุรกิจของบริษัท จากนั้นวันที่สามจะมีแม่ทีมลงมาสอน หากใครสนใจทำธุรกิจก็จะขายฝันว่าเป็นการสร้างรายได้เพิ่ม โดยที่ไม่ต้องสต๊อกของ ไม่ต้องมีสินค้าในมือ มีระบบช่วยเหลือหลังบ้านทั้งหมด

จากนั้นจะมีเสนอให้เรียนคอร์สที่สูงขึ้นในราคา 2,500 บาท ซึ่งคอร์สนี้จะสามารถเรียนรู้ระบบของบริษัทได้มากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นจะมีโค้ชนัดมาเรียนที่โรงเรียน เป็นการเรียนในห้อง นอกจากนี้จะมีครูพี่เลี้ยง หรือแม่ทีมมาช่วยประกบ หากเริ่มสนใจจะลงทุนแล้วจะมีคอร์สเรียนที่สูงขึ้นไปอีกในราคา 25,000 บาท โดยในคอร์สนี้ก็จะถูกเกลี้ยกล่อมว่าถ้าหากมาทำธุรกิจจะทำให้มีรายได้เพิ่ม และทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป หากใครสนใจจะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนจำนวน 250,000 บาท

ตอนแรกยอมรับว่ายังไม่มั่นใจที่จะลงทุน 250,000 บาท แต่พอผ่านไปสักพักได้มีโอกาสร่วมงานประจำเดือนของบริษัท ทั้งอบรม และประชุม พอเริ่มเข้าไปอบรมก็จะมีดารานักแสดงชื่อดังมาพูดจนสร้างความเชื่อมั่นทำให้รู้สึกว่าบริษัทนี้มีระบบรองรับทุกอย่าง ระบบหลังบ้านก็ดี การตลาดก็ดี และสินค้าก็ดี โดยดารานักแสดงชื่อดังจะพบเจอได้ในเฉพาะงานอีเวนท์ ซึ่งจะมีค่าบัตรเข้าร่วมงานจำนวน 1500 บาท เท่าที่เห็นจะมีจำนวน 3 คนด้วยกัน ซึ่ง 3 คนนี้ เท่าที่ได้ยินมาไม่ใช่แค่เป็นพรีเซนเตอร์ แต่เป็นถึงระดับผู้บริหารที่คนจะเรียกกันว่า “บอส”

พอเริ่มสนใจในการจะลงทุนธุรกิจแต่ตอนแรกเงินมีไม่พอ บัตรเครดิตก็มีไม่พอ จนมีแม่ทีมเป็นคนแนะนำให้ขยายวงเงินในบัตรเครดิต พร้อมแนะนำให้โทรไปหาธนาคารเพื่อขยายวงเงิน ประกอบในตอนนั้นแม่ทีมมีหารขายฝันว่าส่วนแบ่งและผลกำไรจะได้ยังไงบ้างตามที่แม่ทีมบอก จึงทำให้ตัดสินใจเข้าไปลงทุน โดยใช้เงินเก็บทุกบาทในชีวิตพร้อมกับเงินในบัตรเครดิตจนตอนนั้นไม่เหลือแม้แต่เงินจะกินข้าว

พอหลังจากลงทุนไปแล้วกลับกลายเป็นว่า ไม่ใช่การขายของเหมือนกับการที่ถูกขายฝันเอาไว้ แต่เป็นให้เราไปโฆษณาในโซเชียลเหมือนกับที่เคยเจอตอนแรก ด้วยการยิงแอดโฆษณาลงในเฟซบุ๊ค เพื่อเป็นการขายสินค้าเหมือนกับที่ตัวเองนั้นได้ซื้อมา ซึ่งการโฆษณาทางบริษัทก็จะมีสคริปให้พูดทุกอย่าง หากสามารถหาดีลเลอร์ หรือลูกค้ามาได้ ก็จะได้เปอร์เซ็นต์จากการหาคนมาสมัครต่อหัว ซึ่งเปอร์เซ็นต์แล้วแต่สินค้าตัวนั้นๆ

แต่สุดท้ายเริ่มมาเอะใจเพราะหลังจากที่เริ่มเรียนไปเรื่อยๆก็รู้สึกได้ว่าไม่ชอบมาพากล สุดท้ายก็ไม่ได้สอนให้ขายของแต่ สอนให้หาคนมากระจายสินค้าด้วยการยิงแอดโฆษณาหาดีลเลอร์มาลงทุนแบบตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นแม้จะไม่มีเงินในการยิงแอดโฆษณา แม่ทีมมีการแนะนำให้เอารถไปรีไฟแนนซ์เพื่อนำเงินมายิงแอดโฆษณาหาลูกค้าคนอื่น หานักเรียนคนอื่นเข้ามาเรียน ทั้งแนะนำให้มีการชวนเพื่อน มีเบอร์คนไหนก็ให้โทรชวนคนนั้น จนตอนนี้ต้องเป็นหนี้บัตรเครดิต เงินที่ใช้ไปลงทุนก็ไม่เคยเห็นผล

นอกจากนี้ยังมีผู้เสียหายอีกหนึ่งคนที่นำเงินเก็บจำนวน 206,000 บาทไปลงทุนจนเกือบคิดสั้นฆ่าตัวตาย เนื่องจากว่าตนเองตกงานอยู่แล้วจึงอยากสร้างธุรกิจด้วยการนำเงินไปลงทุน เพราะคิดว่าทำไปอาจจะได้เงินมาใช้จ่ายในครอบครัว เพราะตอนแรกเข้าใจว่าใช้เงินลงทุนแค่ 2,500 บาท พอจ่ายไปแล้วก็จะต้องไปเรียนเหมือนกับผู้เสียหายรายอื่น โดยมีการขายฝันว่าถ้าหากลงทุนแล้วจะได้นู้นได้นี่มา และมีการพูดสโลแกนว่า “ขยันผิดที่อีก 10 ปีก็ไม่รวย”

ซึ่งเงินเก็บตนเองที่ลงทุนไป 206,000 บาท จนถึงทุกวันนี้ก็ยังใช้หนี้อยู่เลย แล้วมามีปัญหาชีวิตเพราะคนในครอบครัวไม่มีใครเข้าใจ คนในครอบครัวต้องแตกแยกเพราะตนเอง จนช่วงระยะเวลาหนึ่งตนเองมีภาวะซึมเศร้า และเคยคิดสั้นที่จะฆ่าตัวตายมาแล้ว

ขณะที่ผู้เสียหายอีกคนบอกว่าครอบครัวของเธอเสียเงินกว่า 2 ล้าน เนื่องจากมีผู้ใหญ่ในครอบครัวไปลงทุนแล้วใช้ชื่อลูกอีก 3 คน และเพื่อนลูกอีก 1 คน ไปสมัครเป็นดีลเลอร์ โดยทางบริษัทอ้างว่าหากใช้ชื่อของคนที่บ้านเปิดบิล เป็นดีลเลอร์ประโยชน์ก็จะอยู่กับลูก แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถขายของที่เปิดบิลมาได้

ส่วนประเด็นที่เมื่อวานนี้ทางหนึ่งในผู้บริหารของบริษัทได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ค ว่าธุรกิจของตัวเองนั้นเป็นธุรกิจที่ถูกต้องตามกฏหมาย พร้อมยืนยันจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและให้ความร่วมมือกับทางเจ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประเด็นนี้ทางผู้เสียหายบอกว่า คงต้องพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม เพราะในความรู้สึกของตัวเองหลังจากที่ลงทุนไปแล้วก็เหมือนกับว่าถูกทิ้งให้ทำธุรกิจเพียงลำพังด้วยการหาดีลเลอร์รายใหม่ และขอพูดตามตรงว่าธุรกิจของบริษัทดังกล่าวนอกจากจะต้องมีเงินลงทุนแล้ว จะต้องมีเงินในการยิงแอดโฆษณาด้วย

ขณะที่ทนายความประจำมูลนิธิรณรงค์ทวงความยุติธรรมในสังคม บอกว่าพาผู้เสียหายมาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน เพื่อให้ตรวจสอบว่าบริษัทนี้เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนและผิดฐานแชร์ลูกโซ่ตามพระราชกำหนดกู้ยืมที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน 2527 มีความผิดในเรื่องการโฆษณาเกินความเป็นจริงและเป็นเท็จ ตาม พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค 2522 หรือไม่ และต่อมาคือผิด พรบ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง 2445 หรือไม่ นอกจากนั้นก็อาจมีมีความผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ 2560 มาตรา 14 เรื่องนำเข้าข้อมูลบิดเบือนและอันเป็นเท็จหรือไม่

โดยนายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ได้โชว์เอกสารข้อตกลงที่ทางบริษัททำไว้กับผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเป็นเงินค่าบำรุงขวัญ ให้ผู้เสียหายบางส่วนไปเซ็นเอกสารปิดปาก จ่ายเงินให้ครึ่งหนึ่งจากเงินลงทุนที่เสียไป ทำให้จะเห็นว่าผู้เสียหายบางส่วนไม่กล้ามาแจ้งความ เพราะหวั่นจะถูกดำเนินคดีคดี โดยย้ำว่าเรื่องนี้เป็นอาญาแผ่นดินไม่สามารถยอมความได้พร้อมฝากประชาสัมพันธ์ให้ ผู้เสียหายไม่ต้องกลัวให้เข้ามาแจ้งความและให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน

ส่วน ก่อนหน้านี้ที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มีการพิจารณา ว่าบริษัทดังกล่าวไม่เข้าข่าย กระทำความผิดกฎหมาย มองว่าเรื่องนี้ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากการทำธุรกิจของบริษัทดังกล่าว มีหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นการตีความข้อกฎหมาย มีทั้งส่วนที่เสียผลประโยชน์และได้ประโยชน์ และอาจมีการเลี่ยงบาลีในการตีความ จึงอยากให้ผู้เสียหายเข้ามาให้ข้อมูลให้ได้มากที่สุด

ขณะเดียวกัน ทนายเดชา เดชา กิตติวิทยานันท์ พร้อมด้วย ต้นอ้อ มูลนิธิเป็นหนึ่ง และ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ พาผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบบางส่วนจากการลงทุนกับ บริษัท The icon group  กว่า 10 ราย มาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.)  โดยให้ความสำคัญกับกรณีแชร์ลูกโซ่มากที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่คดีการฟอกเงิน และหากพยานหลักฐานเพียงพอก็จะขอให้ดำเนินการยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด

ด้านนายแทนคุณ  ระบุว่า พฤติการณ์ของบริษัทนี้ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนและโฆษณาเกินจริง เกี่ยวกับการขายสินค้าออนไลน์ เมื่อมีผู้หลงเชื่อจะชักชวนให้ร่วมลงทุน เปิดคอร์สราคา 97 บาท ก่อนขยับเป็นขั้นบันดัน ไปจนถึง 250,000 บาท เพื่อเป็นดีลเลอร์ และสามารถสร้างทีม และรับผลประโยชน์เพิ่ม และหลังจากน้้นจะมีการโน้มน้าว เชิญชวนให้ยิงแอดโฆษณาหารายได้ เฉลี่ยแล้ว 1 คน จะเสียหายอย่างน้อย 5 แสนกว่าบาท

ข้อมูลล่าสุด มีผู้เสียหายที่มาร้องทนายเดชาแล้วมากกว่า 500 คน และวันนี้เป็นตัวแทนมา 10 คน / ส่วนผู้เสียหายรายอื่น สามารถเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจในพื้นที่บ้านตนเองได้เลย

จากการสอบถามผู้เสียหาน พบว่าดาราที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้มี 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ได้รับมอบอำนาจในการบริหารโดยตรง มี 5-6 คน / กลุ่มสอง กลุ่มของพรีเซนเตอร์ที่บริษัทจ้างมา เพิ่อสร้างความน่าเชื่อถือ มีจำนวนหลายคน / และกลุ่มสุดท้าย กลุ่มที่มีความสัมพันธ์ และถูกเชิญเข้าไปร่วมอีเวนท์ของบริษัท / ผู้เสียหายยืนยันว่าดารากลุ่มแรกเข้ามาบริหารจริง

ด้าน ต้นอ้อ มูลนิธิเป็นหนึ่ง เผยว่า 1 ในผู้เสียหายที่มาเล่าให้ตนฟัง บอกว่าเคยฆ่าตัวตายจากการลงดัวกล่าวไป แต่โชคดีรอดมาได้ โดยเริ่มแรก ผู้เสียหายรายนี้ตกงาน จึงสนใจร่วมลงทุน รูดบัตรเครดิคไปกว่า 400,000 บาท แต่สินค้าที่ได้รับมากลับขายไม่ได้ จนเกิดความเครียด ประกอบกับมีอาการป่วยโรคประจำตัว ขณะนั้นก็ยัวท้องอยู่ 4 เดือน จึงตัดสินใจกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย แต่พลเมืองดีช่วยไว้ได้ทัน

ขณะนี้ผ่านมาแล้วกว่า 10 เดือน ผู้เสียหายรายนี้ยังคงต้องใช้หนี้บัตรเครดิตที่รูดมาร่วมลงทุนบริษัทนี้

ด้าน ทนายเดชา เปิดเผยว่า จาการที่เมื่อแซม ยุรนันท์ แถลงข่าวว่าตนเองไม่มีส่วนในการตัดสินใจของบริษัท ตนเองได้พูดคุยกับพนักงานสอบสวนแล้วว่า การจะดำเนินคดีกับใครไม่ได้ดูแค่เพียงคำพูด แต่ต้อวดูพฤติกรรมและหลักฐานที่รวบรวมมา ซึ่งดิจิทัลฟุตปริ้นจะเป็นตัวพิสูจน์ / หากดูจากพฤติการณ์ มีโอกาสสูงที่ดาราจะถูกดำเนินคดี แต่ยังไม่ขอระบุว่าเป็นใคร

ส่วนใครจะฟ้องกลับ ทนายเดชาระบุว่า ยินดีให้ฟ้อง ถ้าบริสุทธิ์จริงก็ตั้งโต๊ะแถลง ตอบคำถามลูกค้าให้กระจ่าง / ทั้งนี้ฝากไปถึงแม่ข่าย ขอให้เข้ามาเป็นพยานและแจ้งความหากไม่มาก็จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและถือเป็นผู้ต้องหา

น.ส.เอ นามสมมุติ เปิดเผยว่า เรื่องเกิดขึ้นเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ตนตัดสินใจร่วมลงทุนเพราะอยากจะสำเร็จเนื่องจากมีการชักชวนและกล่าวอ้างถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จ โดยมีวลีหลักของตัวเจ้าของหรือบอสใหญ่ว่า “ ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย” ตนจึงตัดสินใจเข้าร่วม และมีการชักชวนให้คนสนิทหรือคนในครอบครัวมาร่วมลงทุนด้วย แต่สินค้ากลับขายไม่ออกเนื่องจากสินค้าไม่ได้คุณภาพทำให้คนไม่กลับมาซื้อซ้ำ ต้นเสียหายหลักล้าน เมื่อถามหาวิธีขายของกลับไม่ได้คำตอบ ทำให้ตนต้องเสียความสัมพันธ์กับคนสนิทและครอบครัว และธุรกิจดังกล่าวไม่

ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ