จับกุมเครือข่ายหลอกลงทุนซื้อหุ้นกู้ CP ALL พบเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 1,500 ล้านบาท

จับกุมเครือข่ายหลอกลงทุนซื้อหุ้นกู้ CP ALL พบเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 1,500 ล้านบาท

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ, พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.ประดิษฐ์ เปการี รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ฯ ปรก.บก.ปอท., พ.ต.อ.วัชรพันธ์    ศิริพากย์, พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท. และ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท.

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ รอง ผกก.2 บก.ปอท., พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ   มงคลการ, พ.ต.ท.ชัยเวง พาด้วง, พ.ต.ท.จักรพงษ์ รุ่งจำกัด, พ.ต.ต.วชิรเชษฐ์ อัครธีระพงศ์, พ.ต.ต.กมลภพ หาญเวช สว.กก.2 บก.ปอท., พ.ต.ต.ศุภเดช ธนชัยศิริ สว. (สอบสวน) กก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท.

ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา ดังนี้  

1.) น.ส.น้ำอ้อย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2876/2567 ลง 20 มิ.ย.67

2.) น.ส.หนู (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2878/2567 ลง 20 มิ.ย.67

3.) น.ส.สายสมร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2880/2567 ลง 20 มิ.ย.67

4.) นายบุญมี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 56 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2883/2567 ลง 20 มิ.ย.67

5.) นายภูษิต (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2884/2567 ลง 20 มิ.ย.67

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่”

พฤติการณ์ สืบเนื่องจาก เมื่อประมาณเดือน พ.ย.66 ผู้เสียหายพบกับเพจเฟสบุ๊ก ชื่อ “Brand Cp” โดยใช้โลโก้ของ “CP ALL” โดยในเพจเฟสบุ๊กดังกล่าว มีการโพสต์ภาพถ่าย ข่าวสาร และนำเสนอกิจกรรมต่างๆ นอกจากนั้นยังได้มีการโพสต์รูปภาพและข้อความประกาศเชิญชวนประชาชนทั่วไปที่พบเห็นในลักษณะชักชวนลงทุน และมีผลกำไรตอบแทน เมื่อผู้เสียหายได้เห็นรูปภาพและข้อความโฆษณาดังกล่าวก็หลงเชื่อโดยสนิทใจ ประกอบกับ บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ ผู้เสียหายจึงได้พูดคุยข้อความส่วนตัวกับแอดมินเพจดังกล่าวผ่านแอปพลิเคชันเมสเซนเจอร์ โดยแอดมินได้ส่งลิงก์บัญชีไลน์ให้กับผู้เสียหายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านการลงทุนและผู้ฝึกสอนให้ผู้เสียหายทำการเทรดหุ้นเก็งกำไร เมื่อผู้เสียหายพูดคุยไปได้ระยะหนึ่ง คนร้ายได้ส่งลิงค์เว็บไซต์ชื่อ “CP ALL” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่คนร้ายสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้เสียหายสมัครสมาชิก โดยเมื่อสมัครสมาชิกและเข้าใช้งานแล้ว จะปรากฏยอดเงินที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปในระบบ และแสดงผลกำไรที่ได้จากการลงทุน ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินลงทุนไปยังบัญชีม้าที่คนร้ายได้เตรียมไว้ ประมาณ 16,000 บาท ในช่วงแรกของการลงทุนผู้เสียหายสามารถทำรายการถอนเงินลงทุนและกำไรจากการลงทุนได้ทั้งหมด จากนั้นคนร้ายชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุนต่อเนื่องเพื่อสร้างผลกำไรที่มากขึ้นและกำหนดเงื่อนไขในการถอนเงิน ต้องทำการเทรดให้ครบตามกำหนด ผู้เสียหายได้โอนเงินลงทุนเข้าไปในระบบจำนวนมากขึ้น สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินจากระบบได้ โดยคนร้ายอ้างว่าจะต้องมีการชำระเงินค่าภาษีก่อน ถึงจะสามารถทำรายการถอนเงินทั้งหมดได้ ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าได้ถูกหลอกลวง และแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้าย โดยจากการตรวจสอบกับระบบแจ้งความออนไลน์ พบผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้กับคนร้ายกลุ่มดังกล่าวกว่า 180 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 62 ล้านบาท จากการตรวจสอบพบว่าคนร้ายได้มีการยักย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการกระทำความผิดเปลี่ยนเป็นเงินดิจิทัล (สกุล USDT) โดยพบเงินหมุนเวียนในกระเป๋าเงินดิจิทัลของกลุ่มคนร้ายกว่า 1,500 ล้านบาท

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกันทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว ประกอบด้วย กลุ่มบัญชีม้า, กลุ่มบัญชีคริปโตม้า, กลุ่มนายทุนและฟอกเงิน มีทั้งชาวไทย, กัมพูชา, เวียดนาม และจีน จำนวนหลายราย โดยต่อมาเมื่อวันที่ 16 ก.ย.67 ถึงวันที่ 1 ต.ค.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วย บก.ป. บูรณาการร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาชาวไทยได้ จำนวน 5 ราย ในพื้นที่ นครราชสีมา, ปราจีนบุรี, สระแก้ว และนราธิวาส

สอบถามคำให้การเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ให้การยอมรับในข้อเท็จจริงว่า โดยผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ให้การสอดคล้องต้องกันว่าได้หางานทำผ่านโซลเชียลมีเดียและถูกหลอกพาข้ามฝั่งไปทำงานที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา ผ่านทางช่องทางธรรมชาติ จากนั้นนำตัวไปกักขังไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งลักษณะคล้ายกับอพาร์ทเม้นท์ มีการยึดอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารทั้งหมด จากนั้นบังคับให้เปิดบัญชีธนาคารและบัญชีแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัล ถ้าไม่ทำตามคำสั่งก็จะถูกทำร้ายร่างกาย โดยในแต่ละวันจะมีเครือข่ายสมาชิกของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มารับตัวไปยังที่ทำการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บังคับให้สแกนใบหน้าในการทำธุรกรรมทางการเงินตลอดวัน ระยะเวลาประมาณ 5-7 วัน (หรือจนกว่าบัญชีจะถูกอายัด) ได้รับค่าจ้างวันละ 1,000 บาท จากนั้นจะพากลุ่มผู้ต้องหาไปทิ้งไว้ที่บริเวณชายแดน เพื่อให้เดินทางกลับฝั่งไทยเองผ่านช่องทางธรรมชาติ

ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 ราย ให้การว่าประมาณปลายปี 2566 ได้มีกลุ่มบุคคลไม่ทราบเป็นผู้ใด เดินทางมาที่หมู่บ้าน โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่มาทำการสแกนใบหน้าและดำเนินการขอสิทธิเกี่ยวกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยผู้ต้องหาถูกหลอกลวงเอาภาพถ่ายใบหน้าและบัตรประจำตัวประชาชนไปเปิดบัญชีแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลให้กับกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ในส่วนผู้ต้องหากลุ่มนายทุนและฟอกเงินที่ได้ออกหมายจับไว้ และยังหลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ จะได้ทำการประสานติดตามจับกุมตัวต่อไป

ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ นครบาล รายงาน

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ