นนทบุรี คืบหน้า สาวพิการสมองถูกรุมย่ำยี แม่วอนตร.หลังคดีไม่คืบ ขณะอดีตเพื่อนร่วมงานแฉพฤติกรรม ตาแว่น ผู้ต้องสงสัย
จากกรณีเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาที่สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจ “สายไหมต้องรอด” ได้นำหญิงสาวพิการทางสมอง พร้อมแม่เข้าพบกับ พ.ต.อ.พิสุทธิ์ จันทรสุวรรณ ผู้กำกับการ สภ.รัตนาธิเบศร์ เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีข่มขืนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุเกิดภายในซอย ติวานนท์ 25 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 เมื่อหญิงสาวผู้เสียหายถูกกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างแถวบ้านรุมโทรมและกระทำชำเราหลายครั้ง โดยในครั้งแรกมีการเก็บวัตถุพยานและตรวจพบ DNA ของผู้ก่อเหตุมากกว่า 3 คน
อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวกลับเงียบหายไปเนื่องจากเจ้าของคดีย้ายที่ทำงานไป ตั้งแต่เหตุการณ์แรก ผู้เสียหายยังคงถูกกระทำอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวันที่ 24 ในเดือนพฤษภาคม 2567 เธอถูกฉุดไปก่อเหตุซ้ำอีก โดยครั้งนี้มีร่องรอยการถูกกัดที่อวัยวะเพศและหัวนม ทำให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจ ครอบครัวของผู้เสียหายกังวลว่าคดีจะไม่คืบหน้า จึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการในศาลากลางจังหวัดนนทบุรี หลังจากได้รับการร้องเรียน เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากเพจ “สายไหมต้องรอด” เพื่อให้เข้ามาดูแลและติดตามคดีนี้
โดยเฉพาะในเรื่องของความเป็นธรรมและการปกป้องสิทธิ์ของผู้เสียหาย เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 20 ก.ย.67 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุในซอยติวานนท์ 25 แยก 23 ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีข่มขืนหญิงพิการ ซึ่งผู้เสียหายและครอบครัวยังคงรอคอยการดำเนินคดี นางเอ (นามสมมติ) อายุ 74 ปี พร้อมด้วย น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 35ปี ลูกสาวผู้เสียหาย ได้นำผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ชี้จุดเกิดเหตุ พร้อมเปิดเผยว่า เหตุการณ์ข่มขืนเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2562 โดยลูกสาวของตนถูกกลุ่มชายหลายคนรุมโทรม หลังจากแจ้งความและมีการตรวจพบ DNA ของผู้ก่อเหตุ แต่คดีกลับไม่คืบหน้าเนื่องจากเป็นช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด
จากนั้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ลูกสาวของตนกลับถูก ข่มขืนอีกครั้ง และแม้ว่าจะสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ในเดือนกรกฎาคม แต่ทางตำรวจกลับให้รอดูหลักฐานเพิ่มเติมโดยไม่เร่งดำเนินคดี นอกจากนี้ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผู้ก่อเหตุได้กระทำการรุนแรงอีกครั้ง โดยกระชากลูกสาวของตนเข้าไปในบ้านระหว่างเดินไปซื้อของ พร้อมทั้งทำร้าย ร่างกายด้วยการทุบหลังถึงสองครั้ง ซึ่งยังมีพยานเห็นเหตุการณ์คือวินจักรยานยนต์รับจ้างที่ร่วมมือเป็นผู้ดูต้นทางให้ แต่ทางตำรวจยังไม่ดำเนินการสอบสวนผู้ร่วมกระทำผิด ทั้งนี้ผู้ก่อเหตุพยายามป้ายความผิดว่าตนต้องการขายลูกสาว ทั้งที่ครอบครัวมีฐานะดี และยังเปิดเผยว่าอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรื้อฟื้นคดีเก่าขึ้นมาดำเนินการอีกครั้ง
ส่วนทางด้าน.ส.น้ำฝน (นามสมมติ) ได้ออกมาเปิดเผยถึงพฤติกรรมที่แท้จริงของ "ตาแว่น" ชายที่ภายนอกดูเหมือนจะมีอัธยาศัยดี ตลก และน่าคบหา แต่กลับ ซ่อนนิสัยที่ไม่น่าคบหา ถ้าคนที่ไม่ได้รู้นิสัยของเขาลึกๆ แล้วจะมองว่าเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ตลก แต่ถ้าได้รู้จักกันลึกๆ แล้ว บุคคลคนนี้ไม่ควรเข้าไปยุ่งเลย เพราะเขาเป็นคนที่นิสัยขี้วอแวในเรื่องของทางเพศ ตนเคยรู้จักกับตาแว่นเพราะเคยวิ่งวินมอเตอร์ไซค์ด้วยกันเมื่อนานมาแล้ว แต่จากพฤติกรรมที่ตนเจอ เธอรู้สึกเหมือนถูกลวนลามทางสายตา ซึ่งหลังจากนั้นตนก็ตัดสินใจที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก
นอกจากนี้ ตนเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายเคยรุมโทรมคุณป้าคนหนึ่งตั้งแต่ปี 2563 แต่เนื่องจากไม่มีการดำเนินการใดๆ ตนจึงไม่ได้สนใจจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ล่าสุดขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตนทราบว่าตาแว่นถูกกล่าวหาว่าได้ข่มขืนผู้หญิงที่เป็นผู้พิการ
โดยมีพฤติกรรมที่โหดร้ายอย่างเช่นการกัดท้องและหน้าอกของผู้หญิงคนนั้น ตนเชื่อโดยสนิทใจว่า ต้องเป็นตาแว่นที่ตนรู้จักอย่างแน่นอน แต่ชาวบ้านแถวนั้นก็ช่วยกันปกป้อง เพราะเบื้องหน้าตาแว่นดูเป็นคนมีอัธยาศัยที่ดีโดยไม่ได้รู้จักตาแว่นแบบลึกๆ น.ส.น้ำฝน ยังกล่าวต่อว่า เรื่องนี้ตนรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ โดยทั้งที่ผู้ก่อเหตุคนนี้รู้อยู่เต็มอกว่าน้องมีพัฒนาการสมองที่ช้าและเป็นผู้พิการ ไม่เชื่อว่าผู้ก่อเหตุจะไม่รู้เรื่องนี้ อยากให้ผู้ก่อเหตุโดนจับสักที สงสารแม่ของเหยื่อที่เป็นผู้พิการรู้สึก ทุกข์ใจอย่างมาก และได้มาปรึกษาตน แต่ตนก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากในตอนนั้น เรื่องนี้สะท้อนถึงความรุนแรง และความเงียบที่เกิดขึ้นในชุมชน เมื่อบุคคลที่ภายนอกดูเป็นคนดีได้รับการปกป้องจากสังคม