คุณยายแจ้งความ ทนายดัง หลอกเอาเงินทำคดี แต่ไม่ทำอะไร จนบ้านโดนยึด
วันที่ 10 ก.ย.2567 นายสมเกียรติ โจนวรกมล ทนายความอาสาจังหวัดสกลนคร พา นางสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 72 ปี และ นายน้อย (สงวนนามสกุล) อายุ 72 ปี สองสามีภรรยา ชาว อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา แจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.อภิญญา ภัณฑะประทีป สารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองบุรีรัมย์ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ กล่าวหา ทนายชื่อดังท่านหนึ่ง เคยลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) พรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ว่าหลอกลวงและฉ้อโกงเงินไปจำนวน 150,000 บาท
นางสุข เล่าว่า บ้านพร้อมที่ดินของตนเนื้อที่ 1 งาน 89 ตารางวา อยู่ที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ถูกธนาคารยึดไป หลังจากนั้นบริษัทแห่งหนึ่ง ได้ประมูลมาจากสำนักงานบังคับคดี อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา แล้วนำทรัพย์ไปประกาศขายในราคา 795,000 บาท ต่อมาลูกสาวเห็นทนายคนดังกล่าวใน TikTok ว่าเป็นทนายช่วยเหลือประชาชน จึงประสานไปหาทนาย เบื้องต้นทนายคิดค่าดำเนินการจำนวนเงิน 50,000 บาทเป็นค่าวิชาชีพ ซึ่งได้โอนไปให้ครบจำนวน หลังทนายรับเงินไป ทนายเดินทางไปหาที่บ้านที่จังหวัดนครราชสีมา เพื่อขอรายละเอียดของคดี ต่อมาทนายได้เรียกเงินอีก 100,000 บาท เป็นค่ามัดจำบ้านที่ดินจากบริษัทฯ ลูกสาวก็หามาให้ตนก่อนโอนต่อให้ทนายจนครบจำนวน ไม่นานทนายติดต่อมาอีกว่า ต้องใช้อีก 25,000 บาท คราวนี้ครอบครัวมาปรึกษากันว่า”จะโดนหลอกหรือไม่”ลูกสาวจึงติดต่อกับทนายสมเกียรติ ในทาง TikTok เพื่อขอคำแนะนำ
คราวนี้ ทนายสมเกียรติ ออกมาช่วยเหลือเป็นอย่างดีโดยไม่คิดเงิน จนกระทั่งมารู้จากทนายสมเกียรติ ว่ายังไม่มีใครมาติดต่อกับบริษัทเกี่ยวกับบ้านและที่ดินดังกล่าวแม้แต่ครั้งเดียว สุดท้ายทนายที่บุรีรัมย์ น่าจะพอรู้ตัว โอนเงินกลับคืนมาให้ 100,000 บาท และ 10,000 บาท ยังขาดอีก 40,000 บาท แต่ไม่ยอมคืนให้ ก่อนทนายพามาแจ้งความ นายสมเกียรติ โจนวรกมล ทนายอาสาจังหวัดสกลนคร กล่าวว่า ทนายคนดังกล่าวตนไม่เคยรู้จักเขามาก่อน มารู้ตอนพายายมาแจ้งความว่าเขาเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังในจังหวัดบุรีรัมย์ เคยคุยกันทางโทรศัพท์ 1-2 ครั้งว่าขอร้องเขา ว่าเราเป็นทนายเรามีจริยธรรม เรามีวิชาชีพ ถ้าเราไม่ได้ทำงานให้เขาควรจะคืนเขาไปซะ แต่ไม่ได้รับการติดต่อกลับมา ได้แต่ครับ ครับ ครับ แล้วหายไปเลย จนลูกสาวของยายที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ ขอร้องให้ทนายคืนเงินให้ สุดท้ายโอนเงินส่วนที่เหลือจากค่าวิชาชีพมาให้ 10,000 บาทจากที่เรียกไป 50,000 บาท เงินจำนวนนี้เขาอ้างว่ามีทีมงานไปติดต่อกับบริษัท
แต่ไม่เป็นความจริง ผมเดินทางไปติดต่อที่บริษัท และพอพบเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเคสนี้ ได้รับแจ้งว่า”ไม่เคยมีใครมาติดต่อกับบริษัทเลย”อย่างนี้เรียกว่าเข้าข่ายฉ้อโกง หลอกลวง โดยเฉพาะถ้าเป็นทนายความแล้วไปกระทำแบบนี้จะได้รับโทษมากกว่าปกติ เพราะไปใช้ความรู้ที่มีอยู่ไปทำแบบนี้ไม่ได้