กทม. ระดม 5 มาตรการป้องกันน้ำให้ชาวกรุง เสริมแนวเขื่อน ปิดจุดเสี่ยงกว่า 60 จุด เตรียมสถานีสูบน้ำ 200 แห่ง เปิดทางน้ำไหล 1,300 คลอง ล้างท่อ 4,300 กม. เตรียมเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง
วันนี้ (27 ส.ค. 67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำเหนือและน้ำฝนของกรุงเทพมหานคร พร้อมลงเรือตรวจสอบความพร้อมแนวป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา จาก ท่าเรือส่วนการท่องเที่ยว ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เขตพระนคร ถึงวัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ โดยมี นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสำนักการระบายน้ำ ร่วมแถลงข่าวและลงพื้นที่
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า การแถลงและดูการเตรียมพร้อมรับมือน้ำเหนือของ กทม. ในวันนี้เนื่องจากมีฝนตกหนักทางภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดน่านและมวลน้ำไหลลงมาทางแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน แต่เหตุการณ์นี้ไม่เหมือนปี 54 เพราะ 1. น้ำในเขื่อนยังไม่เต็ม โดยเขื่อนภูมิพลประมาณ 50% เขื่อนสิริกิติ์ประมาณ 70% ยังสามารถรับน้ำได้อยู่ ซึ่งปี 54 ที่เกิดน้ำท่วมหนัก เขื่อนล้นทั้งสองเขื่อน ต้องปล่อยน้ำ เพราะฉะนั้น เขื่อนที่เป็นด่านแรกยังชะลอน้ำได้
2. น้ำที่ไหลลงมาไม่ได้เยอะมาก เช่น ที่สถานีบางไทร ด่านที่ต้องเฝ้าระวังของ กทม. ขณะนี้อัตราการระบายน้ำประมาณ 1,000 ลบ.ม./วินาที โดยสามารถรับได้ถึง 3,000 ลบ.ม./วินาที แม้จะมีมวลน้ำเหนือมารวมเชื่อว่าไม่น่าจะถึง 2,000 ลบ.ม./วินาที และ 3. แนวกั้นน้ำที่เราได้ทำไว้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก จุดที่เคยเป็นฟันหลอ เช่น บริเวณวังหลัง ฝั่งธน พระนคร สะพานปลา ถนนเจริญกรุง บางพลัด กทม. ได้อุดฟันหลอไปเยอะแล้ว ซึ่งจุดที่เป็นฟันหลอใหญ่ประมาณ 32 จุด ทำไปแล้ว 17 จุด และรวมทั้งหมด 120 จุด ทำแล้วเสร็จรวม 64 จุด ส่วนที่เหลือได้เตรียมกระสอบทรายไว้อุดแล้วประมาณ 1,500,000 ใบ เป็นของสำนักการระบายน้ำ 250,000 และของสำนักงานเขตกว่า 1 ล้านใบ
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวต่อไปว่า ภาพรวมสถานการณ์ยังไม่น่าเป็นห่วง แต่ประมาทไม่ได้ เพราะผู้ที่จะได้รับผลกระทบก่อนคือบ้านเรือนที่อยู่นอกคันกั้นน้ำ 16 ชุมชน ที่เป็นบ้านรุกล้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งป้องกันได้ยาก กรณีที่ต้องระวังในอนาคตจากน้ำที่มีผลกับกรุงเทพมหานครซึ่งมี 4 ส่วน คือ น้ำเหนือ น้ำหนุนจากทะเล น้ำฝน และน้ำท่า ที่กังวลคือน้ำฝน เพราะสภาพอากาศโลกเปลี่ยน หากตกใน กทม. ปริมาณมากอาจต้องใช้เวลาในการระบาย ซึ่ง กทม. ได้เตรียมรับมือไว้แล้ว ทั้งการลอกคูคลองซึ่งทำทั้งปีไม่ได้เพิ่งทำ โดยคลองหลักลอกไปแล้ว 200 กม. การเปิดทางระบายน้ำคูคลองทำไปแล้ว 1,300 กม. ลอกท่อระบายน้ำไปแล้ว 4,300 กม. ทำให้ช่วงที่ผ่านมาแม้จะมีฝนตกหนัก ถนนหลักก็ใช้เวลาแห้งหมดไม่เกิน 3 ชม.
การรับมือสถานการณ์น้ำได้ดี เป็นผลจากการที่เราดูแลคูคลองต่อเนื่องตลอดมา รวมถึงระบบบริหารจัดการน้ำ การระบายน้ำ และบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนอย่าประมาท แต่เชื่อว่า กทม. เตรียมตัวรับมือได้อย่างเต็มที่เพี่อดูแลพี่น้องประชาชน” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้วาง 5 มาตรการ รับมือน้ำให้กับชาวกรุงเทพมหานคร คือ 1. ติดตามสถานการณ์น้ำเหนือ พร้อมตรวจสอบความเรียบร้อยและให้การช่วยเหลือประชาชน 2. ตรวจสอบแนวป้องกันน้ำท่วม และเฝ้าระวังจุดเสี่ยงน้ำท่วม 3. การเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝน ประกอบด้วย
1. ลดระดับน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ 2. เตรียมความพร้อมระบบระบายน้ำ 3. เตรียมความพร้อมอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่
โดยปัจจุบัน พื้นที่ทางภาคเหนือมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก และอาจส่งผลกระทบให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กรุงเทพมหานครได้ติดตามสถานการณ์และประสานข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน ศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อยู่เป็นประจำ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำที่อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ของกรุงเทพมหานครได้
สถานการณ์น้ำเหนือ 4 เขื่อนหลักภาพรวมดีกว่าปีก่อน คาดน้ำจากสุโขทัยเข้า กทม. ใน 6 วัน เตรียมเฝ้าระวังด่านหน้าสถานีบางไทร
สถานการณ์น้ำ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา อันได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสัก เปรียบเทียบ ณ วันและเวลาเดียวกัน (25 ส.ค. 66 กับ 25 ส.ค. 67) พบว่า ปีนี้ดีกว่าและยังสามารถรองรับน้ำได้เพิ่ม ทั้งนี้ ต้องเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิดจากมวลน้ำที่มาจากแม่น้ำยม ซึ่งจะไม่ไหลเข้าเขื่อนหลักและระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันมวลน้ำไหลลงมาถึงจังหวัดสุโขทัย และคาดว่าจะมาถึงกรุงเทพมหานคร ใช้เวลาประมาณ 6 วัน (2 ก.ย. 67)
โดยอัตราการระบายน้ำที่ต้องเฝ้าระวังก่อนถึงกรุงเทพมหานครคือที่สถานีบางไทร ซึ่งอัตราการระบายน้ำที่สถานีบางไทร ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 989 ลบ.ม./วินาที โดยอัตราการระบายน้ำที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ที่ 2,500 ลบ.ม./วินาที
คันกั้นน้ำริมเจ้าพระยายาว 80 กม. เสริมสูงกว่าน้ำท่วมปี 54 พร้อมระดมสรรพกำลังเตรียมรับมือสถานการณ์น้ำเหนือหลาก
กทม. ได้เตรียมพร้อมการบริหารจัดการน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วมต่าง ๆ และตรวจสอบความแข็งแรงและจุดรั่วซึมของแนวป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ ความยาวประมาณ 80 กิโลเมตร ซึ่งหลังจากปี 54 เป็นต้นมา ได้เสริมแนวคันกั้นน้ำถาวรริมเจ้าพระยาสูงขึ้นตลอดแนวที่ระดับ 2.80-3.50 ม.รทก. และเรียงกระสอบทรายเป็นเขื่อนชั่วคราวในบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) และบริเวณแนวป้องกันที่มีระดับต่ำตามจุดต่าง ๆ รวมทั้งตรวจสอบความพร้อมของสถานีสูบน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 96 สถานี โดยรวมทั้งหมด ประมาณ 200 สถานี และบ่อสูบน้ำตามแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งในช่วงน้ำทะเลขึ้น พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังประจำจุด เครื่องสูบน้ำสำรอง เรือผลักดันน้ำ วัสดุอุปกรณ์ กระสอบทราย ตลอดจนเตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการเร่งด่วนเคลื่อนที่ (BEST) และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมปฏิบัติการและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ทันทีเมื่อเกิดเหตุน้ำท่วม ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับชุมชนนอกคันกั้นน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 16 ชุมชน 731 ครัวเรือน ในพื้นที่ 7 เขต ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากน้ำท่วม ได้สั่งการให้สำนักงานพื้นที่ ประกอบด้วย เขตดุสิต พระนคร สัมพันธวงศ์ บางคอแหลม ยานนาวา บางกอกน้อย และเขตคลองสาน ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนชุมชนและให้เตรียมขนย้ายสิ่งของให้อยู่ในที่สูง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนหากเกิดปัญหาระดับน้ำขึ้นสูง นอกจากนี้ได้สั่งการสำนักงานเขตที่มีพื้นที่อยู่ตามแนวริมแม่น้ำเจ้าพระยาสำรวจพื้นที่บ้านเรือนของประชาชน จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนในกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ อย่างทันท่วงที
ฝนตกรวมใกล้เคียงปีที่แล้ว ภาพรวมปีนี้ กทม. รับมือสถานการณ์ฝนได้ดี ท่วมน้อย ลดเร็ว พร้อมเตรียมการเข้มข้นรับมือฝนต่อเนื่อง
ปริมาณฝนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2567 พบว่า ในเดือนสิงหาคมมีปริมาณฝนอยู่ที่ 208.5 มิลลิเมตร มีค่าน้อยกว่าปี 2566 ซึ่งมีค่าอยู่ที่ 224 มิลลิเมตร และปริมาณฝนสะสมในปี 2567 อยู่ที่ 842.5 มิลลิเมตร มีค่าใกล้เคียงกับปี 2566 อยู่ที่ 811.50 มิลลิเมตร ทั้งนี้ จากสถานการณ์ฝนในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ากรุงเทพมหานครมีความพร้อม ทั้งในด้านของอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงความพร้อมของประตูระบายน้ำและคันกั้นน้ำริมแม่น้ำในการรับมือกับสถานการณ์น้ำฝน น้ำเหนือและน้ำทะเลหนุนที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
โดยการรับมือสถานการณ์ฝนของ กทม. ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตลอด คือ การลดระดับน้ำรองรับสถานการณ์ฝน อาทิ พร่องน้ำในคลอง สร้างธนาคารน้ำ(water bank) แก้มลิง การเตรียมความพร้อมระบบระบายน้ำ โดยล้างทำความสะอาดและบำรุงรักษา อุโมงค์ระบายน้ำ ประตูระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำ แล้วเสร็จ 100% ทุกจุด รวมถึงการเตรียมความพร้อมอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ ทำให้น้ำท่วมขังหลังฝนตกหนักในปีนี้ลดลงเร็ว
ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ นครบาล รายงาน