อดีตนายกสมาคมชาวนาไทย เชื่อแฟนใหม่ ขายฝากบ้านจนถูกยึด ก่อนถูกปล่อยทิ้งบ้านพักฟื้นคนชรา ลูกหลานไร้ที่ซุกหัวนอน

อดีตนายกสมาคมชาวนาไทย เชื่อแฟนใหม่ ขายฝากบ้านจนถูกยึด ก่อนถูกปล่อยทิ้งบ้านพักฟื้นคนชรา ลูกหลานไร้ที่ซุกหัวนอน

เมื่อเวลา 16.30 น.วันที่ 19 ส.ค.67 ผู้สื่อข่าวได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายณัฐพงษ์ บุญเฉย อายุ 37 ปี อาชีพเกษตรกร บุตรชายของนายประสิทธิ์ บุญเฉย อายุ 76 ปี อดีตนายกสมาคมชาวนาไทย สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.65 น.ส.สุนีวรรณ (สงวนนามสกุล) ภรรยาใหม่ของนายประสิทธิ์ ได้นำบ้าน 3 ชั้น พร้อมที่ดินเนื้อที่ประมาณ 380 ตรว.ตั้งอยู่ที่ ต.คลองขวาง อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ไปจำนองกับนางนงนุช (สงวนนามสกุล)ราคาประมาณ 15,500,000 บาท ซึ่งขณะนั้นนางกรนิศา บุญเฉย ภรรยานายประสิทธิ์ มีอาการป่วยนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไทรน้อย จ.นนทบุรี ต่อมาวันที่ 30 ก.ค.65 นางกรนิศา ได้เสียชีวิต นายประสิทธิ์จึงได้ย้ายออกจากบ้านไปอยู่กับภรรยาใหม่ที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี และขาดการติดต่อกับทางบ้าน ล่าสุดวันที่ 4 มี.ค.67 ได้มีป้ายปิดประกาศขายบ้าน มาติดไว้ที่หน้าบ้านหลังดังกล่าว นายณัฐพงษ์ จึงติดต่อไปหาผู้รับขายฝาก โดยได้รับคำตอบว่า ถ้าอยากได้บ้านคืนต้องนำเงินไปชำระจำนวน 25 ล้านบาท หลังเกิดเรื่องพยามยามติดต่อหาหานายประสิทธิ์ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งทราบว่าผู้เป็นพ่อ ถูกนำไปปล่อยทิ้งไว้ที่บ้านพักฟื้นผู้สูงอายุ อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ไร้ญาติดูแล จำอะไรไม่ได้ อีกทั้งยังค้างชำระค่าดูแลเกือบเเสนบาท ขณะที่ครอบครัวไร้ที่ซุกหัวนอน วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า วันนี้มาร้องสื่อเพราะอยากจะขอความเป็นธรรม เกี่ยวกับเรื่องพ่อและเรื่องที่พักอาศัย โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 65 ก่อนที่แม่จะเสียชีวิต ซึ่งขณะที่เเม่นอนป่วยติดเตียงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไทรน้อย พ่อก็มีแฟนใหม่ จากนั้นวันที่ 17 มิ.ย.65 พ่อกับแฟนใหม่ของพ่อได้เอาบ้านไปขายฝากกับคนรู้จักในราคา 15,500,000 บาท ต่อมาวันที่ 30 ก.ค.65 แม่ของตนได้เสียชีวิต พ่อจึงไปอยู่กับแฟนใหม่ที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี หลังจากนั้นเกือบปี ก็ติดต่อพ่อไม่ได้อีกเลย เพราะแฟนใหม่ของพ่อไม่ยอมให้เจอ ตอนนั้นก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงกีดกันไม่ให้คุยและไม่ให้เจอพ่อเลย จนกระทั่งวันที่ 4 มี.ค.67 สังเกตเห็นป้ายประกาศขายบ้าน มาติดที่หน้าบ้าน จึงโทรไปสอบถามว่าบ้านของตนถูกประกาศขายได้อย่างไร เขาจึงเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ฟัง ตนจึงถามไปว่า ถ้าจะเอาบ้านคืน ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ซึ่งเขาแจ้งมาว่า ต้องจ่ายเงินทั้งหมดจำนวน 25 ล้านบาท ถึงจะได้บ้านคืน ตอนนั้นตกใจมาก ไม่รู้จะหาเงินจากไหนไปเอาบ้านคืนกลับมา ซึ่งบ้านหลังนี้ตนเองอยู่มาตั้งแต่อายุ 25 ปี โดยบ้านหลังนี้เป็นบ้านของพ่อกับเเม่ที่ซื้อเอาไว้ ที่ผ่านมาตนเองพยายามติดต่อพ่อมาโดยตลอด แต่แฟนใหม่ของพ่อก็ไม่ยอมให้คุยกับพ่อ ซึ่งตนถามแฟนใหม่อยู่นานหลายเดือน จนเขายอมบอกว่าพาพ่อไปทำกายภาพบำบัดที่ศูนย์พักฟื้นผู้สูงอายุ อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี อีกประมาณ 2 อาทิตย์เขาจะไปรับพ่อกลับ แต่เขาก็ไม่ยอมให้เบอร์ติดต่อพ่อและก็ไม่บอกอะไรอีกเลย ตนจึงไปสืบเอง จนรู้ว่าศูนย์ดังกล่าวอยู่ตรงไหน จึงรีบเดินทางไปหาพ่อ เมื่อไปถึงเห็นพ่อนอนติดเตียง เห็นสภาพพ่อแล้วรับไม่ได้ อีกทั้งพ่อยังใส่ท่อให้อาหาร กินอาหารเองไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อีกทั้งยังจำลูกตัวเองไม่ได้อีกด้วย หลังจากนั้นตนก็คุยกับแฟนใหม่พ่อเรื่องบ้านที่ถูกยึด ซึ่งเขาบอกว่าเขาจะหาวิธีเอาบ้านออกและจะไปไถ่บ้านคืน แต่เขาก็ไม่ยอมรับว่าเขาเอาบ้านไปขายฝากไว้ แต่ตนมีหลักฐานทุกอย่าง เท่าที่คุยกับแฟนใหม่ของพ่อ เขาบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องการขายบ้านเลย แต่เขาบอกแค่ว่าพ่อเป็นหนี้ ต้องเอาเงินไปใช้หนี้ ซึ่งตนเชื่อว่าพ่อถูกหลอก เพราะก่อนที่เเม่จะเสียชีวิต พ่อเกิดอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ สมองได้รับการกระทบกระเทือน ตอนงานศพเเม่ ตาของพ่อก็มองเห็นไม่ค่อยชัด สมองก็เบลอๆ เวลาเดินต้องมีคนคอยพยุง

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ตอนนี้อยากขอความเป็นธรรม อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบเกี่ยวกับการขายบ้านว่าถูกต้องหรือไม่ ตอนนี้ครอบครัวลำบากมาก พี่ชายก็พิการ ป่วยเป็นดาวน์ซินโดรมตั้งแต่เกิด ชีวิตตอนนี้ต้องระหกระเหเร่ร่อนไปกันคนละทิศคนละทาง ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แล้วแต่ใครจะให้ที่พักพิง ตอนนี้ตนเองทำอาชีพเกษตรกร รายได้ไม่มั่นคง ต้องมาพักอาศัยอยู่บ้านแฟนซึ่งเป็นบ้านหลังเล็กๆ จะเอาพ่อมาอยู่ เอาพี่ชายมาอยู่ ก็ไม่ได้กลัวว่าจะลำบาก สุดท้ายนี้อยากจะขอร้องแฟนใหม่ของพ่อถ้าเอาเงินไปก็เอามาคืนบ้าง ตนจะได้เอามาดูแลพ่อดูแลพี่ชาย ถ้าเอาพ่อไปทิ้งแบบนี้ เดี๋ยวตนจะไปรับพ่อกลับมาดูแลเอง

ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ จ.นนทบุรี รายงาน

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ