เพื่อนบ้านมหาภัย ปาหินใส่หลังคาบ้านกว่า 100 ครั้ง โชว์ก้นเยาะเย้ยวงจรปิด แจ้งความตำรวจบอก ไม่มีหลักฐานเพียงพอในการเอาผิด
วันนี้ 6 สิงหาคม 2567 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเสนานิเวศน์ โครงการ 2 ในย่านประเสริฐมนูกิจ 27 แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว ซึ่งบ้านของนายทนงศักดิ์อยู่ในซอย 226 แต่บ้านผู้ก่อเหตุอยู่ในซอย 228 ซึ่งอยู่หลังบ้านนายทนงศักดิ์พอดี
นายทนงศักดิ์เปิดเผยว่า ตลอดหนึ่งปีผ่านมา ตอนนี้ยินเสียงดังอะไรบางอย่างมากระทบกับหลังคาบ้านแต่ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคงคิดว่าน่าจะเป็นเศษฝุ่นหินที่ปลิวมากระเด็นโดนหลังคาบ้านตามปกติ จนกระทั่งช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตนสังเกตเห็นว่า หลังคาของบ้านเกิดรั่ว จึงได้เรียกช่างมาซ่อมแซม ซึ่งทันทีที่ช่างขึ้นไปบนหลังคาก็พบว่า มีก้อนหินเป็นจำนวนมากและมีน๊อตเหล็กบางส่วนกองอยู่บนหลังคาบ้าน
ตนเลยเดินเข้าไปพูดคุยกับเพื่อนบ้านบริเวณโดยรอบ ทุกบ้านก็บอกว่าโดนเหมือนกัน จนกระทั่งได้มาพูดคุยกับบ้านหลังนี้ ซึ่งตอนนั้นตนก็ยังไม่รู้ว่าเป็นบ้านผู้ก่อเหตุหรือไม่ แต่ตนสังเกตเห็นว่า มีกองหินที่มีลักษณะคล้ายหินที่อยู่บนหลังคาบ้านตนกองอยู่หน้าบ้านเขา ตนก็เลยขอเข้าไปพูดคุยกับคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น ซึ่งปรากฏว่า มีพ่อของผู้ก่อเหตุเดินออกมาคุย แล้วก็พูดบ่ายเบี่ยงประมาณว่า แถวนี้ไม่มีใครเขวี้ยงหินหรอก บ้านตนก็โดนเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร
แล้วหลังจากนั้นก็สังเกตเห็นว่า บ้านของตนถูกปาหินเกือบทุกวัน โดยมักจะมีการปาหินในช่วงประมาณตี 5 และประมาณ 1 ทุ่มกว่า ๆ ซึ่งตอนเชื่อว่า น่าจะเป็นบ้านข้างหลังของตนแน่ ๆ เลยตัดสินใจเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.โคกคราม เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม แต่ตำรวจอ้างว่าทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากไม่มีภาพวงจรปิดหรือพยานหลักฐานเพียงพอ
หลังจากนั้น ตนตัดสินใจติดกล้องวงจรปิด โดยต้องขอความร่วมมือติดตั้งกล้องวงจรปิดจากเพื่อนบ้าน บริเวณโดยรอบที่ถูกปาหินเหมือนกัน โดยทันทีที่ติดกล้องนั้น คนในบ้านผู้ก่อเหตุก็ออกมาโวยวายว่า ไม่ให้หันกล้องมาที่บ้านเขา จึงได้แต่หันไปออกไปทางถนน โดยรวมกว่า 7 ตัว แต่ก็สามารถจับภาพบริเวณด้านหน้าบ้านผู้ก่อเหตุได้
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม สามารถจับภาพได้ชัดว่า ตัวผู้ก่อเหตุนั้นได้เดินออกมาหน้าบ้านทำท่าที่สูบบุหรี่แล้วคลุมรถ ก่อนที่จะหยิบหินที่อยู่ที่กองบริเวณหน้าบ้านปาเขวี้ยงใส่บ้านของตน ช่วงประมาณ 19:42 ซึ่งถือเป็นภาพยานหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด
นายทนงศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนและภรรยาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มากกว่า 20 กว่าปีและไม่เคยมีปัญหากับใครโดยเฉพาะบ้านผู้ก่อเหตุ ซึ่งบ้านผู้ก่อเหตุนั้นเพิ่งอาศัยไม่ถึง 10 ปี ตัวผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นชายอ้วนท้วม อายุประมาณ 40 ปี โดยตลอดที่ผ่านมา ภาพวงจรปิดก็สามารถจับภาพตัวผู้ก่อเหตุที่มีพฤติกรรมชอบเดินไปเดินมาคล้ายว่าทำทีดูจุดที่จะปาหินใส่ คาดว่าพ่อแม่อาจจะไม่เคยรู้พฤติกรรมของชายคนนี้
แต่ก็ไม่เคยให้ความร่วมมือกับเพื่อนบ้านในการพูดคุย โดยเฉพาะ บ้านของตน ตัวผู้ก่อเหตุทราบว่ามีลูก แต่คิดว่าตัวผู้ก่อเหตุอาจจะมีปัญหาทางจิต เพราะเคยมีประวัติโชว์ก้นใส่กล้องวงจรปิด (ภาพวงจรปิด 28 กรกฎาคม เวลาประมาณ 18:14) อีกทั้งเพื่อนบ้านบริเวณโดยรอบของบ้านผู้ก่อเหตุก็พูดตรงกันว่า บ้านหลังนี้นั้น ค่อนข้างมีอาการทางจิตและมีปัญหากับเพื่อนบ้านบ่อย รวมทั้งคนในบ้านหลังนั้นก็มักจะพูดคุยกันด้วยถ้อยคำหยาบคายเป็นประจำ
ทั้งนี้นายทนงศักดิ์ ได้ฝากไปถึงพ่อแม่ของผู้ก่อเหตุว่า ถ้าลูกป่วยก็ให้เอาไปรักษา ก่อนที่จะมีเหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้ เพราะทุกคนมีขีดจำกัดความอดทนที่แตกต่างกันออกไป จึงอยากให้พ่อแม่ช่วยดูแลผู้ก่อเหตุเป็นพิเศษ
ด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผยว่า หลังจากนี้ตนจะประสานไปยังผู้กำกับการ สน. โคกคราม ให้เร่งรัดคดี และให้พิจารณาดำเนินคดีต่างกรรมต่างวาระ ซึ่งในช่วงบ่ายวันนี้ผมจะลงพื้นที่ร่วมกับ สน. โคกคราม เพื่อเข้าไปเจรจากับบ้านผู้ก่อเหตุ เพื่อให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าวเพราะถ้าหากพลาดไปโดนใครอาจทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บหรือถึงขั้นร้ายแรงจนถึงเสียชีวิตได้
ด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผยว่า หลังจากนี้ตนจะประสานไปยังผู้กำกับการ สน. โคกคราม ให้เร่งรัดคดี และให้พิจารณาดำเนินคดีต่างกันต่างวาระ เป็นการเอาผิดตามกรรมต่างวาระ และในช่วงบ่ายวันนี้จะลงพื้นที่ไปตรวจสอบพร้อมทั้งเจรจากับบ้านผู้ก่อเหตุ ให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว เพราะถ้าหากพลาดไปโดนใครอาจทำให้มีคนบาดเจ็บหรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ต่อมา ทีมข่าวลงพื้นที่มายังจุดเกิดเหตุ โดยพบว่าบ้านของผู้ก่อเหตุได้มีการปิดล็อค และไม่มีใครอยู่ภายในบ้าน ขณะที่เพื่อนบ้านหลายๆคนให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันว่า ถูกผู้ก่อเหตุใช้สารพัดสิ่งของขว้างปาใส่หลังคาบ้านมาหลายครั้ง แต่เคราะห์ดีที่บ้านของตนไม่ได้รับความเสียหายจึงไม่ติดใจเอาความแต่อย่างใด แต่ที่ผ่านมาตนก็เคยมีการพูดคุยกับครอบครัวของผู้ก่อเหตุ ก็เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ผู้ก่อเหตุเคยประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้ารับการผ่าตัดทางสมอง พร้อมกับกำชับไว้ว่าถ้าหากผู้ก่อเหตุขี่รถจักรยานยนต์หรือเดินผ่านหน้าบ้าน ก็ห้ามสบตาโดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้ผู้ก่อเหตุเกิดความรู้สึกไม่พอใจ
ด้าน พันตำรวจโท ประภาส หินซุย สารวัตรป้องกันและปราบปราม สน.โคกคราม ชี้แจงว่า ที่ผู้เสียหายเข้าใจผิดคิดว่าคดีไม่มีความคืบหน้านั้นเนื่องจากทางพนักงานสอบสวนอยากให้ผู้เสียหายไปหาเวลาที่เกิดเหตุที่แท้จริงเสียก่อน ซึ่งพอทราบเวลาเกิดเรื่องแล้วก็จะดำเนินการต่อไปได้ โดยหลังจากนี้จะมีการเริ่มสอบปากคำ พร้อมทั้งพิจารณาออกหมายเรียกผู้ก่อเหตุมารับทราบข้อกล่าวหา ถ้าหากไม่มาก็จะออกหมายจับต่อไป ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยของผู้เสียหายหลังจากนี้นั้น จะส่งตำรวจสายตรวจมาเฝ้าสังเกตการณ์ ถ้าหากเจอผู้ก่อเหตุ ก็อาจจะรวบตัวในทันที
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน