ตำรวจไซเบอร์จับมือ กสทช. และตำรวจพื้นที่ ลุยรื้ออุปกรณ์ส่งสัญญาณผิดกฎหมาย พบลอบส่งสัญญาณข้ามโขงไปประเทศเพื่อนบ้าน เอื้อเปิดช่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ตำรวจไซเบอร์จับมือ กสทช. และตำรวจพื้นที่ ลุยรื้ออุปกรณ์ส่งสัญญาณผิดกฎหมาย พบลอบส่งสัญญาณข้ามโขงไปประเทศเพื่อนบ้าน เอื้อเปิดช่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์

สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้กำชับให้ บช.สอท. ขับเคลื่อนนโยบาย “ซิม สาย เสา” ในการตัดวงจรการทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นกลวิธีสำคัญในการป้องกันและปราบปรามมิจฉาชีพออนไลน์ โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ตำรวจไซเบอร์ทั่วประเทศตรวจสอบการลักลอบส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านอย่างเข้มข้น เพื่อเป็นการเร่งตัดช่องทางในการก่อเหตุของแก๊งมิจฉาชีพ

โดยล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์โดย บก.สอท.3 ได้ลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. จนพบการลักลอบส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ต จากฝั่งไทยข้ามแม่น้ำโขงไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 4 จุด ในพื้นที่ อำเภอโพนพิสัย และอำเภอรัตนวาปี บริเวณแนวชายแดนจังหวัดหนองคาย จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ

วันนี้ (23 ก.ค.67) พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3 และ พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 นำกำลังตำรวจไซเบอร์สนธิกำลังร่วมกับ นายจาตุรนต์ โชคสวัสดิ์ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงาน กสทช. สายงานกิจการภูมิภาค, นายสัญญา กระจ่างศรี ผอ.สำนักงาน กสทช. ภาค 2 และ พล.ต.ต.พิรัชย์ อุดมพิสุทธิคุณ ผบก.ภ.จว.หนองคาย ร่วมนำเจ้าหน้าที่จำนวนหลายสิบนาย กระจายกำลังเข้าตรวจค้น พื้นที่ทั้ง 2 อำเภอ ได้แก่

จุดที่ 1 ร้านจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งหนึ่ง ใน อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย

จุดที่ 2 ร้านขายส่งอิฐ หิน ปูน ทราย และผลิตภัณฑ์คอนกรีตเพื่อการก่อสร้าง ใน อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย

จุดที่ 3 ร้านจำหน่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ IT แห่งหนึ่ง ใน อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย

จุดที่ 4 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งหนึ่ง ใน อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย

จากการเข้าตรวจค้นดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันทำการรื้อถอนอุปกรณ์ส่งสัญญาณ เช่น ตัวส่งสัญญาณ จานดาวเทียม สายไฟฟ้า และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เพื่อตรวจยึดเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพนพิสัย และ สภ.รัตนวาปี ดำเนินคดีตามกฎหมาย และเตรียมดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

โดยการกระทำดังกล่าวมีความผิดฐาน “มี ใช้เครื่องวิทยุคมนาคม และตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม พ.ศ 2498” โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และ/หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท และอาจมีความผิดฐาน “การประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ 2544” โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และ/หรือปรับไม่เกิน 10 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ