บุกรวบเจ้าแม่ไลฟ์สด ชวนเล่นการพนันพื้นบ้านใน Instagram กำไรเหนาะๆวันละกว่า 20,000 บาท
วันที่ 21 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ รายงานว่า กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้น กก.3 บก.ปอท. ร่วมตรวจค้น บ้าน หมู่ 5 ตำบลสุขเกษม อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ตามหมายค้นศาลแขวงนครราชสีมา ที่ ค.40/2567 ลง 18 มิ.ย.67 พบนางสาวชลิตาฯ หรือโดนัท อายุ 30 ปี อยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าว พร้อมตรวจยึดพยานหลักฐานซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิด ประกอบด้วย
1. ใบฉลากน้ำเต้าปูปลา จำนวน 1 กล่อง
2. กระดาษบอกป้ายผลการพนันน้ำเต้าปูลา จำนวน 17 แผ่น
3. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ IPHONE รุ่น 13 จำนวน 1 เครื่อง
4. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ IPHONE รุ่น 13 Pro max จำนวน 1 เครื่อง
5. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ VIVO รุ่น V2126 จำนวน 1 เครื่อง
พฤติการณ์ สืบเนื่องจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีนโยบายให้สายตรวจออนไลน์โดย กก.3 บก.ปอท. ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสื่อออนไลน์ที่มีการกระทำความผิด จึงได้ร่วมกันทำการสืบสวนทางโซเชียลมีเดีย ปรากฏบัญชีอินสตาแกรมรายหนึ่งมีการเผยแพร่การไลด์สดการจัดให้มีการเล่นการพนันน้ำเต้า ปูปลา ลุ้นรางวัล เผยแพร่ผ่านทางอินสตาแกรมที่เปิดเป็นสาธารณะ เพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงได้
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายค้นของศาลแขวงนครราชสีมา ที่ ค.40/2567 ลง 18 มิ.ย.67 เข้าทำการตรวจค้น โดยขณะทำการตรวจค้นได้พบนางสาวชลิตาฯ อยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าว โดยนางสาวชลิตาฯ ให้การรับว่าเป็นเจ้าของบัญชีอินสตาแกรม มีการไลฟ์สดจัดให้มีการพนันพื้นบ้าน ประเภทน้ำเต้าปูปลา โดยมีผู้เข้าเล่นต่อคืนเป็นจำนวนมาก ทำให้มีรายได้ต่อคืนประมาณ 10,000 - 20,000 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในความผิดฐาน เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 12 และเนื่องจากความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ยังเป็นหนึ่งในมูลฐานความผิดตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ดังนั้น หากเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนได้ว่าผู้กระทำผิดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน
ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือปกปิดที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือกระทำการใด ๆ เพื่อปกปิดการจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ของทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือได้มาหรือครอบครองทรัพย์สินโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ผู้กระทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้วย เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน