รวบคู่หูโจรแสบ ทุบรถฉกทรัพย์ เหิมหนักรูดบัตรเครดิตซื้อมือถือ 2 แสน
ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่าได้จอดไว้ในโรงแรมใจกลางเมืองกรุงเทพในช่วงกลางวัน แล้วถูกคนร้ายทุบกระจกรถฉกเอาทรัพย์สินและเอกสารสำคัญที่วางไว้ภายในรถไป จากนั้นคนร้ายยังเหิมเกริม นำบัตรเครดิตของผู้เสียหายไปรูดซื้อสินค้ากว่า 2 แสนบาท
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้กำชับสั่งการให้ พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. ให้รีบจับกุมกลุ่มคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว เพื่อจะได้ไม่เป็นภัยสังคมอีกต่อไป
โดยเมื่อวันที่ 27 พ.ค. จากการลงพื้นที่สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานกว่า 1 เดือน เจ้าหน้าที่ กก.สส.3 สืบนครบาล สามารถติดตามจับกุมตัว
1.นายณธกร หรือต้น อายุ 40 ปี ภูมิลำเนา แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานครตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.483/2567 ลง 24 พฤษภาคม 2567 (สน.ทองหล่อ)
2.นายวชรกร หรือเก่ง อายุ 44 ปี ภูมิลำเนา ตำบลท่าคล้อ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.482/2567 ลง 24 พฤษภาคม 2567 (สน.ทองหล่อ)
ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน ร่วมกันลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใด และใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม , ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสาร , ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบฯ โดยเป็นการกระทำเกี่ยวกับบัตร อิเล็กทรอกนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ เพื่อประโยชน์ในการชำระสินค้าค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสดหรือใช้เบิกถอนเงินสดฯ และร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม
โดยจับกุมได้ที่ บริเวณหน้าอู่ซ่อมรถ ซ.เทพลีลา 12 แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
และตรวจพบของกลางจากนายณธกร อีกจำนวน 5 รายการ ได้แก่
1. แท่งเหล็กปลายสว่าน จำนวน 2 แท่ง (ใช้สำหรับงัด/ทุบกระจกรถยนต์)
2. โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ iPhone รุ่น 12 Pro Max สีน้ำเงิน จำนวน 1 เครื่อง
3. อาวุธปืนแบลงค์กันพร้อมซองกระสุน จำนวน 1 กระบอก
4. รถยนต์ยี่ห้อ Nissan รุ่น Fairlady สีเทา จำนวน 1 คัน (รถผิดกฎหมาย)
และได้จับกุม นายวชรกร หรือเก่ง โดยจับกุมที่ อพาร์ทเมนท์ ซอยแจ่มจันทร์ แขวงนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม จังหวัดกรุงเทพมหานคร และยังตรวจค้นพบยาเสพติดจากนายวชรกร ได้จำนวน 3 รายการได้แก่ 1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) จำนวน 6 ถุง น้ำหนักรวม 5.79 กรัม 2.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ( ยาอี ) จำนวน 1 ถุง น้ำหนักรวมถุง 0.55 กรัม 3.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 ( เคตามีน ) จำนวน 1 ถุง น้ำหนักรวมถุง 0.85 กรัม
พฤติการณ์แห่งคดี เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2567 เวลา 09.30 น.ผู้เสียหาย ได้ขับขี่รถยนต์ (ป้ายแดง) มาจอดไว้ที่ลานจอดอาคารจอดรถชั้น 5 โรงแรมแห่งหนึ่ง ซอยสุขุมวิท 23 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ หลังจากนั้นได้เข้าไปสัมมานาภายในโรงแรมฯ จนกระทั่ง วันเดียวกัน เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2567 เวลา 16.29 น. ผู้เสียหาย เดินทางกลับมาที่จอดรถยนต์พบว่ากระจกรถยนต์ประตูหลังด้านซ้ายมีร่องรอยถูกทุบจนแตกละเอียด และพบว่ากระเป๋าเป้สีดำและกระเป๋าคาดเอวสีน้ำเงิน และกระเป๋าสะพายที่วางอยู่เบาะด้านหลัง ได้หายไป โดยภายในกระเป๋าทั้งสามใบ มีทรัพย์สินดังนี้ บัตรเครดิต ซิตี้แบงค์ จำกัด ,บัตรเครดิต ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด,บัตรเครดิต ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด ,บัตร อิออน บัตรเครดิต ธนาคาร ยูโอบี จำกัด และบัตรอื่นๆ ,เงินสดประมาณ5,000 บาท หูฟังแอร์พอดโปร 5 อัน ราคา 6,990 บาท และสมุดบัญชีธนาคารกสิกร ,สมุดบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์, สมุดบัญชีธนาคารออมสิน ,สมุดบัญชีธนาคารกรุงศรี ,สมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย ,สมุดบัญชีธนาคารทีเอ็มบีธนชาต ,สมุดบัญชีธนาคารซีไอเอ็มบี และบัตรประชาชน ,ใบขับขี่ ,ใบขับรถสาธารณะและบัตรประชาชน
ต่อมาผู้เสียหาย ได้รับการแจ้งเตือนผ่านทางโทรศัพท์มือถือ แจ้งว่ามีการใช้บัตรเครดิต หลายครั้ง ดังนี้ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2567 เวลา 15.13 น. มีการใช้บัตรเครดิต ไปใช้ที่ภายในห้างสรรพสินค้า แยก ลาดพร้าว-วังหิน แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร จำนวน 498 บาท ,เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2567 เวลา 15.21 จำนวน 31,500 บาท และ เวลา 15.22 น. จำนวน 37,500 บาท ที่ร้านค้า สาขาวังหิน ถนนลาดพร้าววังหิน แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นร้านขายปลีกคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ , เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2567ฃ เวลา 16.27 น. จำนวน 97,800 บาท ที่ร้านขายโทรศัพท์ ภายในห้างสรรพสินค้า แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีอาญากับผู้ต้องหาตามกฎหมายต่อไป
จากการซักปากคำ นายณธกร ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ว่าได้ร่วมกับพวก คือนายวชรกร หรือเก่ง ก่อเหตุจริง ซึ่งตนเองทำหน้าที่ ตัวซ้อนรถและทุบกระจก นายวชรกรทำหน้าที่ คนขับขี่รถ โดยหลังก่อเหตุ ตนได้นำบัตรเครดิตของผู้เสียหายไปรูดซื้อโทรศัพท์มือถือจำนวน 4 เครื่อง เพื่อนำไปขายต่อ เงินที่ได้จะนำไปซื้อยาเสพติดเพื่อเสพ ที่เลือกทุบรถ เพราะว่าสถานที่ดังกล่าวปลอดคน และมองเห็นสิ่งของมีค่าในรถได้ชัด
ส่วนนายวชรกร ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าว แต่ให้การว่ารู้จักนายณธกร หรือต้น เนื่องจากเป็นเพื่อนกินเที่ยวด้วยกัน และรับว่ายาเสพติดที่ตรวจพบ เป็นของตนที่มีไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายจริง
ทั้งนี้จากการตรวจสอบในฐานระบบข้อมูล พบประวัติดังนี้
นายณธกร หรือต้น
1.ตัวการมี อาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน โดยมิได้อนุญาต (ครอบครองปืนไม่มีทะเบียน),ตัวการพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุสมควร หรือพาไปในชุมนุมชน (สน.โคกคราม)
2.ร่วมกันลักทรัพย์ (สน.คันนายาว)
3.ร่วมกันลักทรัพย์ (สน.คันนายาว)
ตรวจสอบประวัติของ นายวชกร หรือเก่ง ดังนี้
1.มีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (นอกเหนือจากแอลเอสดี หรือเมตแอมเฟตามีน) มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 3 กรัมขึ้นไป ( สภ.แก่งคอย จังหวัดสระบุรี )
จากนั้นได้ตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย นำส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ฝากเตือนและห่วงใยประชาชน ปัญหาการถูกทุบกระจกรถขโมยทรัพย์สินเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบาดแพร่สะพัดทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สร้างความเดือดร้อนทั้งต่อทรัพย์สินและการเสียเวลา ฉะนั้นฝากเตือนว่าควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของโจร ไม่จอดรถในที่เปลี่ยว ที่ไม่มีผู้คนผ่านไปมาหรือตามตรอกซอกซอยลึก เลี่ยงการจอดรถริมถนนยามค่ำคืน แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องจอดริมถนน ควรเลือกบริเวณที่มีแสงสว่างมากที่สุดและมีผู้คนสัญจรไปมา ไม่ทิ้งของมีค่าไว้ในรถ ถ้าคุณไม่สามารถเลือกที่จอดได้ และต้องรถในที่เปลี่ยวและมืด ไม่ควรทิ้งของมีค่าไว้ในรถ ทั้งคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป กล้องถ่ายรูป กระเป๋าราคาแพง และอื่นๆ เพราะจะล่อตาล่อใจโจรที่ตระเวนออกล่าเหยื่อ ทางที่ดีควรหยิบของมีค่าติดมือลงจากรถไปด้วย ติดสัญญาณกันขโมย ถึงแม้สัญญาณอาจจะไม่สามารถป้องกันการถูกลักทรัพย์ได้เต็ม 100% แต่ก็ยังช่วยชะลอการก่อเหตุหรืออาจทำให้โจรเตลิดหนีไปได้
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน