ลูกชายวัยเพียง 12 ปี ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย พ่อแม่ฟังแล้วช็อกหนัก หมอชี้พลาดที่การกิน-นอน (ตปท.)
เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ต่างประเทศ hk01 ได้มีการนำเสนอเรื่องราวของเสี่ยวเจีย (นามสมมุติ) เด็กชายชาวจีนอายุ 12 ปี หลังมีการพบก้อนเนื้อขนาดเท่า "ข่นกกระทา ค่อนข้างแข็ง บริเวณกระดูกไหปลาร้าด้านซ้ายของเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ไม่มีอาการระคายเคืองเลย โดยแพทย์ได้ทำการตัดชิ้นเนื้อบางส่วนบนกระดูกไหปลาร้า ผลพบว่าเป็น อีวิงซาร์โคม่า (Ewing Sarcoma) ซึ่งเป็นโรคมะเร็งของกระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากผู้เป็นแม่ของเด็กชายรายนี้ยังมีความกังวลใจ จึงตัดสินใจพาลูกชายไปโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งผลตรวจทำเอาเกือบช็อก เพราะร่างกายของเด็กชาย พบว่าเป็น มะเร็งปอดระยะสุดท้าย เนื่องจากเนื้องอกมีความร้ายแรงมาก จึงฟื้นตัวได้ยากมากแล้ว
พ่อแม่ของเสี่ยวเจียเสียใจกับสิ่งที่ได้ฟัง และอดไม่ได้ที่จะโทษว่า เป็นความประมาทเลินเล่อของตัวเอง พวกเขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เสี่ยวเจียไม่ค่อยได้กินข้าวเช้า และกินข้าวเพียงครึ่งชามในช่วงอาหารกลางวันและอาหารเย็น อีกทั้งยังไม่ค่อยได้ดื่มน้ำเปล่า แต่มักดื่มน้ำผลไม้และเครื่องดื่มอื่นๆ แทน นอกจากนี้ ยังชอบแอบเล่นวิดีโอเกม ซึ่งส่งผลให้นอนดึกบ่อยๆ และมีวิถีชีวิตที่ไม่ดี
อย่างไรก็ตาม แพทย์ที่โรงพยาบาลมะเร็งประจำมณฑลหูหนาน กล่าวว่า มะเร็งปอดมีอุบัติการณ์และอัตราการเสียชีวิตสูงสุดในบรรดาเนื้องอก เด็กชายอายุเพียง 12 ปี ซึ่งถือว่าเป็นคนไข้ที่อายุน้อยที่สุดในอาชีพแพทย์ของเขาแล้ว จริงๆ แล้วอาการค่อนข้างวิกฤตเลยทีเดียว ในส่วนของสาเหตุของโรค แพทย์ยอมรับว่าการสูบบุหรี่ มลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม และนิสัยการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ล้วนส่งผลต่อการเกิดมะเร็งปอดเช่นกัน
ทั้งนี้ อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดยังมีแนวโน้มสูงขึ้นในหมู่คนอายุน้อย เช่น นิสัยการกิน การทำงานและการพักผ่อน และความเครียดทางจิตใจ ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกัน ส่วนอาการในระยะเริ่มแรกนั้นส่วนใหญ่คือ ไอ เจ็บหน้าอก ปวดหลัง เป็นต้น ผู้ป่วยบางรายอาจอยู่ในระยะกลางและระยะหลังทันทีที่ตรวจพบ ดังนั้น ขอให้ตรวจร่างกายและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อพบว่ามีอาการปิดปกติ