ประชาธิปัตย์ ออกประกาศด่วน ปมคลิปฉาว ผู้สมัครส.ส.หญิง แอบมีความสัมพันธ์กับพระหนุ่ม
จากกรณีโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ เรื่องราวของ พระมหาหนุ่ม วัย 24 ปี เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.อุตรถิตถ์ ที่ไปแอบเสพเมถุน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ นางเอ (นามสมมติ) อายุ 45 ปี แม่บุญธรรมของตัวเอง ขณะที่ ฝ่าย นายบี (นามสมมุติ) สามีของ นางเอ และเป็นพ่อบุญธรรมของพระ จับได้แบบคาหนังคาเขา ช่วงที่พระมหากำลังนอนเปลือยกายอยู่กับ นางเอ บนเตียงนอน จึงได้ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ภายหลัง นางเอ พยายามแก้ตัวให้ฝ่ายพระว่า ลูกบุญธรรมมานอนค้างที่บ้าน แล้วเข้ามาคุยกันในห้องก่อนจะเข้าไปอาบน้ำเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรกันแต่อย่างใด
แต่อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์ตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ ก็ได้มีการออกมาแฉเปิดเผยลักษณะ บุคคลที่ถูกอ้างว่าเป็นสาวใหญ่ที่อยู่ในคลิปวีดีโอ อีกทั้งยังมีการเปิดเผยข้อมูลอีกว่า เธอยังทำงานในส่วนของการเมืองพรรคดังอีกด้วย ทำให้ทางพรรคต้นสังกัดไม่รอช้าที่จะรีบออกมาตอบโต้ประเด็นนี้
ล่าสุด เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 11 เมษายน 2567 ที่ พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดแถลงข่าวฉาว กรณีถูกเปิดเผยว่า มีนักการเมืองสาว สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้สมัครส.ส. มีสัมพันธ์สวาท กับพระมหาหนุ่มวัย 24 ปี เจ้าอาวาสวัดดัง ที่เป็นลูกบุญธรรม และถูกสามีบุกจับได้คาหนังคาเขา จนกลายเป็นข่าวฉาว ที่ทำเสนอไปก่อนหน้านี้
โดย นายราเมศ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็น 1 ในกรรมการบริหารพรรค ได้รายงานให้หัวหน้าพรรคได้ทราบในทันที เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ที่คนเป็นสมาชิกพรรค ต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบจริยธรรม ศีลธรรม และความเป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชน ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของการเป็นสถาบันครอบครัว
ทั้งหมดเป็นสาระสำคัญของข้อบังคับพรรค เขียนไว้ชัดว่าต้องทำตามในกรอบจริยธรรมข้อบังคับพรรคอย่างเคร่งครัด เมื่อหัวหน้าพรรคได้ทราบเรื่องแล้ว ก็มีบัญชา และคำสั่งให้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยมีตน และอดีตส.ส. รวม3 คน มาสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวให้กระจ่างชัด
ตรวจสอบพบว่าหญิงคนที่ปรากฏในคลิปเป็นอดีตผู้สมัครพรรคจริง หลังเสร็จเลือกตั้ง ก็ไม่ปรากฎว่าได้ร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรค แต่อย่างใด ซึ่งตอนนี้ก็ไม่มีตำแหน่งใด ๆ ในพรรค วันนี้จะสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเล็กน้อย สอบถามคนที่เกี่ยวข้องอีกไม่กี่ทัน ให้เสร็จสิ้นใน 3 วัน และรายงานต่อกรรมการบริหาร เพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งโทษฝ่าฝืนข้อบังคับพรรค ขัดต่อจริยธรรม ศีลธรรม ก็จะมีโทษถึงขั้นให้พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค