เพจเป็นหนึ่งช่วยเหลือเด็กหญิง 13 ปี ถูกเพื่อนบ้านย่ำยีในงานอาลัยแม่ตัวเอง ซ้ำพ่อยังขอไกล่เกลี่ย

เพจเป็นหนึ่งช่วยเหลือเด็กหญิง 13 ปี ถูกเพื่อนบ้านย่ำยีในงานอาลัยแม่ตัวเอง ซ้ำพ่อยังขอไกล่เกลี่ย

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 67 นางสาวชลิดา พะละมาตย์ (ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง) เพจฯเป็นหนึ่ง ลงพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร หลังได้รับการร้องเรียนจากลุงของเด็กหญิงวัย13ปี โดยผู้ร้องเรียนระบุว่า ขอยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ คุณชลิดา พะละมาตย์ (ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง) เพจเป็นหนึ่ง เพื่อขอความช่วยเหลือ กรณีเด็กหญิงเอ (นามสมมติ) หลานสาวของผม ถูกกระทำล่วงละเมิด โดยมีข้อเท็จจริงเป็นลำดับเหตุการณ์ ดังต่อไปนี้

1. สืบเนื่องจากการเสียชีวิตน้องสาวของผม ซึ่งเป็นแม่ของน้องเอ ทางญาติพี่น้อง จึงจัดงานบำเพ็ญกุศลแจกทานในวันที่ 16 มีนาคม 2567

2. วันที่ 20 มีนาคม 2567 เวลาเช้า ป้าของน้องเอ น้องสาวอีกคนหนึ่งของผม ได้โทรศัพท์มาเล่าให้ผมฟังว่า

2.1 ระหว่างการจัดเตรียมงาน ทำบุญแจกทาน คือเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 เวลาประมาณ 22:00 น. มีนายบี(นามสมมติ) ไม่ทราบนามสกุล เป็นบุคคลซึ่งอยู่หมู่บ้านติดกัน มาช่วยจัดเตรียมงาน ขับขี่รถจักรยานยนต์พาน้องเอออกไปจากบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ทราบว่าพาไปที่ใด จนกระทั่ง นายบีนำน้องเอกลับมาส่งที่บ้าน

2.2 ช่วงบ่ายของวันที่ 16 มีนาคม 2567 ป้าเห็นน้องเอนอนร้องไห้ในห้อง จึงสอบถามและได้ความว่านายบีได้พาไปข่มขืนกระทำชำเรา

2.3 ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 พ่อของน้องเอมและญาติๆได้ ตกลงไกล่เกลี่ยกับนายบีผู้กระทำผิด โดยมีผู้ใหญ่บ้านร่วมตกลงและเป็นพยาน ข้อตกลงคือ ยุติเรื่อง ไม่ดำเนินคดีใด ๆ ทั้งสิ้น โดยฝ่ายผู้กระทำผิดชดใช้ค่าเสียหายให้เป็นเงิน 200,000 บาท จ่ายให้ก่อน 30,000 บาท และจะจ่ายส่วนที่เหลือจำนวน 170,000 บาท ในวันที่ 3 เมษายน 2567

3. เมื่อผมทราบเรื่อง ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างมากเพราะหลานสาวของผมอายุเพียง 13 ปี เพิ่งจบการศึกษาเพียงชั้น ป. 6 มารดาเพิ่งเสียชีวิตไปได้เพียงสองวัน ส่วนบิดาเองก็ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะคุ้มครองดูแลบุตรของตนได้ดี ทั้งยังมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงได้โทรปรึกษากับนายเป้า (นามสมมติ) ซึ่งเป็นบุคคลที่สนิทสนมและให้ความเคารพนับถือกันมากว่า 25 ปี ในเวลาต่อเนื่องกัน

คุณเป้าได้โทรศัพท์ สอบถามเรื่องราวจากผู้ใหญ่บ้านซึ่งผู้ใหญ่บ้านได้ยอมรับว่า มีเหตุการณ์ล่วงละเมิดน้องเอจริง และมีการไกล่เกลี่ยตกลงกันยุติเป็นที่เรียบร้อย คุณเป้าได้แจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบว่า เหตุการณ์นี้ เป็นการกระทำผิด ซึ่งไม่อาจยอมความกันได้ ทางผู้ใหญ่บ้านเองก็ตอบกลับมาว่าเค้าก็ทราบ แต่ไม่อยากให้มีคดีกันในหมู่บ้านเลยไกล่เกลี่ยให้จบไป ซึ่งทางคุณเป้าได้แจ้งยืนยันไปกับผู้ใหญ่บ้านว่า ทางลุงของฝ่ายผู้เสียหายเค้าไม่ยอม ขอให้ผู้ใหญ่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมาย ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็บอกว่าให้ลุงของผู้เสียหายมาคุยกัน

4. วันที่ 21 มีนาคม 2567 เวลาเช้า ผมได้เข้าไปที่หมู่บ้านเพื่อพาน้องเอไปดำเนินการตามขั้นตอนการร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยได้พูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านแต่ผู้ใหญ่บ้านบอกกับผมว่าเค้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว ฝ่ายบิดาที่รู้ตัวล่วงหน้าและได้พาน้องเอหลบหนีออกไป ผมสอบถามบุคคลในหมู่บ้านไม่มีใครให้ความร่วมมือยอมบอกว่าน้องเอถูกพาไปซ่อนไว้ที่ใด

4.1 ผมจึงไปพบเจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดมุกดาหาร เพื่อแจ้งเรื่องและขอความช่วยเหลือ ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งว่าทำได้เพียงรับฟังและให้คำแนะนำว่าให้นำตัวเด็กมา แล้วเจ้าหน้าที่จะรับไว้ในความดูแล

4.2 ผมจึงเดินทางไปพบตำรวจที่ สภ.ผึ่งแดด ภ.จว.มุกดาหาร พบ ร.ต.อ.พูนทรัพย์ ลุมภักดี ปฎิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวนเวร เบื้องต้นพนักงานสอบสวนไม่รับเรื่องโดยให้เหตุผลว่าผมไม่ใช่ผู้เสียหายต้องให้พ่อซึ่งเป็นผู้ปกครองมาแจ้งความเองและเด็กหายไปจากบ้านยังไม่ถึง 24 ชั่วโมง ผมจึงแจ้งให้คุณเป้าพูดคุยทางโทรศัพท์เพื่ออธิบายเพิ่มเติมให้กับทางพนักงานสอบสวนทราบความโดยละเอียด ซึ่งคุณเป้าได้แจ้งตำรวจว่าไม่ใช่เป็นกรณีเด็กหาย เป็นกรณีล่วงละเมิดทางเพศ

ซึ่งกระทำต่อเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน หากจะไม่รับคำร้องทุกข์ ก็ขอให้ลงประจำวันว่าลุงและป้ามากล่าวโทษว่ามีการกระทำผิดอาญาซึ่งไม่อาจยอมความได้เกิดขึ้น พนักงานสอบสวนจึงยอมที่จะสอบสวนพร้อมบันทึกถ้อยคำของทางฝั่งป้าและรับแจ้งความเป็นคดี ปรากฎตามสำเนา รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ข้อ 1 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2567 เวลา 13:19 น. ในวันดังกล่าวพนักงานสอบสวนไม่ได้สอบสวนและบันทึกถ้อยคำของผมไว้ด้วยเหตุผลที่ว่าผมไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์

4.3 หลังจากร้องทุกข์ไว้แล้ว ในหลายวันต่อมา ผมได้ติดต่อสอบถามความคืบหน้าทางคดี จึงทราบว่าพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกให้บิดาของน้องเอ พาตัวน้องเอมาพบพนักงานสอบสวน ในวันที่ 2 เมษายน 2567 โดยเคารพต่อความเห็นของพนักงานสอบสวน การนี้ผมเห็นว่า การออกหมายเรียกโดยกำหนดระยะเวลาเช่นนี้ สำหรับคดีอันเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ เป็นการล่าช้าเกินสมควร เนื่องจากพยานหลักฐานและร่องรอยอาจถูกทำลาย หรือเลือนหายตามเวลา นอกจากนี้การปล่อยให้เด็กอยู่ในพื้นที่ เป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการถูกกระทำล่วงละเมิดซ้ำ ทั้งการดูแลเยียวยาจิตใจเด็กก็ไม่ได้กระทำโดยผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้ทางด้านนี้เป็นการเฉพาะ จึงโทรศัพท์และส่งเรื่องร้องเรียนไปยังมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567

5. ผมสันนิษฐานด้วยตัวเองว่า เมื่อทางมูลนิธิปวีณาฯ ทราบเรื่อง จึงมีการประสานไปทางผู้กำกับการ สภ.ผึ่งแดด เพราะผมได้รับการติดต่อจากพนักงานสอบสวน ให้ผมไปให้ถ้อยคำในฐานะพยาน โดยในเบื้องต้นแจ้งว่าจะให้พบกับผู้กำกับการ สภ.โดยตรง โดยนัดหมายกันวันที่ 1 เมษายน 2567

6. ในวันที่ 1 เมษายน 2567 ผมได้พบพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนได้สอบสวนถ้อยคำของผมไว้ หลังจากพนักงานสอบสวนได้สอบสวนและบันทึกถ้อยคำผมเสร็จ ผมได้โทรศัพท์แจ้งให้คุณเป้าในฐานะตัวแทนผู้ประสานงานติดต่อแทนผมได้ทราบ คุณเป้าได้ขอพูดคุยกับพนักงานสอบสวนเพื่อสอบถามในสิ่งที่ผมให้ข้อมูลไม่ชัดแจ้ง

ในการพูดคุยกับพนักงานสอบสวนครั้งนี้เกิดการโต้เถียงกันเนื่องจากทางฝ่ายผมเห็นว่า เวลาล่วงเลยมาสองสัปดาห์ และยังมีการปล่อยให้เด็กอยู่ในพื้นที่ที่เกิดเหตุกระทำผิดนั้น สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดเหตุซ้ำ จึงอยากให้พนักงานสอบสวน ปฏิบัติงานในเชิงรุกในการที่จะประสานสหวิชาชีพหรือหน่วยที่เกี่ยวข้องพาเด็กออกจากพื้นที่หรือให้ความคุ้มครองตัวเด็กและต่อเนื่องไปถึงพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งการโต้เถียงครั้งนี้นำไปสู่การขอเข้าพบผู้กำกับการสภ.

7. ผมจึงไปเข้าพบผู้กำกับการสภ. ในชั้นนี้ผมขอยอมรับว่า ได้กระทำการอันเป็นการผิดมารยาทสังคมที่ควรกระทำ กล่าวคือ ผมลืมที่จะเคาะประตูห้องทำงานของท่านผู้กำกับการ และให้ท่านอนุญาตให้เข้าพบเสียก่อน (แต่ทั้งนี้เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ และหลงลืมอย่างแท้จริง) และจากการที่ผมไม่ได้เคาะประตูห้องของท่านผู้กำกับการนี้ เป็นเหตุให้ท่านผู้กำกับการไม่พอใจอย่างมาก ต่อว่าผมด้วยเสียงอันดัง และ ด้วยถ้อยคำรุนแรง การดังกล่าวจึงนี้เป็นเหตุให้ฝ่ายผมโดยคุณเป้าและท่านผู้กำกับการไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นกันแต่อย่างใด

8. ต่อมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ผมได้โทรศัพท์สอบถามความคืบหน้ากับพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนแจ้งว่าจะแจ้งข้อมูลแต่เฉพาะผู้ร้องเรียนเท่านั้นไม่แจ้งข้อมูลให้กับผมทราบ ผมจึงโทรศัพท์ขอความอนุเคราะห์ไปยังเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิปวีณาฯ ซึ่งเป็นผู้รับเรื่องร้องเรียนกรณีนี้ไว้ เจ้าหน้าที่รับเรื่อง และให้ความอนุเคราะห์ว่าจะสอบถามไปยังทางพนักงานสอบสวนให้

9. เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 ผมได้ติดต่อเข้าไปทางมูลนิธิปวีณาฯอีกครั้ง และได้ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า ในวันตามกำหนดในหมายบิดาได้พาน้องเอมไปพบพนักงานสอบสวน พร้อมกับสมาชิกอบต. อีกคนหนึ่ง พนักงานสอบสวนได้ให้เอกสารแก่นายบิดาเพื่อพาน้องเอ(ผู้เสียหาย)ไปตรวจร่างกาย

10. ผมทราบจากน้องสาวและน้องชายที่อยู่ในหมู่บ้านว่าปัจจุบันนี้ผู้กระทำผิดได้หลบหนีออกจากพื้นที่ไปแล้ว ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ญาติพี่น้องของผมบางคน รวมถึงชาวบ้านในหมู่บ้านจำนวนหลายคน ได้ช่วยกันประวิงเวลา และหลีกเลี่ยงที่จะให้ข้อมูลตลอดจนความร่วมมือในทุกด้าน โดยพูดกันว่าเดี๋ยวเรื่องก็เงียบ อีกอย่างเวลาผ่านไปร่องรอยก็ไม่เหลือแล้วจะเอาอะไรมาสู้กันได้

จากเหตุการณ์ และข้อเท็จจริงดังกล่าวมาข้างต้น ผมจึงขอร้องเรียนพร้อมขอความช่วยเหลือ มายังคุณต้นอ้อ เป็นหนึ่ง / เพจเป็นหนึ่ง และทีมงานทุกท่าน เพื่อได้โปรดให้ความช่วยเหลือแก่น้องเอหลานสาวของผมให้ได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ กับทั้งขอความอนุเคราะห์คุณต้นอ้อ / เพจเป็นหนึ่ง ได้กรุณารับเรื่องร้องเรียนนี้ และรับเป็นตัวแทน/ผู้รับมอบอำนาจ ดำเนินการนำบุคคลซึ่งกระทำผิดและผู้เกี่ยวข้องทุกคน มาดำเนินการตามกฎหมายต่อไปจนถึงที่สุด ทีมข่าวสยามนิวส์จังหวัดมุกดาหาร

ผู้สื่อข่าวจังหวัดมุกดาหาร ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน

เรียบเรียง siamnews

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ