แม่ตกใจมาก เห็นลูกเสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังได้รับข้อความส่งมาให้ สุดท้ายจบแบบคาดไม่ถึง (ตปท.)
cbc.ca รายงานว่า
เกิดขึ้นที่ประเทศแคนาดา เมื่อนางฮีเธอร์ อินส์ลีย์ ต้องเห็นลูกชายคนโต นอนป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาลมอนต์ฟอร์ต ที่กรุงออตตาวา นานถึง 3 วัน ก่อนจะสิ้นลมในที่สุด โดยลูกชายของเธอ ยังได้บริจาคอวัยวะหลังการเสียชีวิตด้วย แต่ในวันเดียวกับที่มีการเผาร่างลูกชาย อินส์ลีย์ กลับได้รับข้อความจากหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก โดยอ้างว่า เป็นลูกชายที่เสียชีวิตไปแล้วของเธอ
ที่ส่งข้อความมาขอเงิน ซึ่งอินส์ลีย์ได้โทรหาสามี บิล ที่บอกกับเธอว่า ข้อความดังกล่าวน่าจะเป็นเพียงเรื่องตลกร้ายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่กี่วัน อินส์ลีย์ ก็ได้รับข้อความส่งมาอีก เธอจึงตัดสินใจโทรกลับไปยังเบอร์ดังกล่าว และขอพูดสายกับลูกชายที่เชื่อว่าเสียชีวิตไปแล้ว แต่อินส์ลีย์ก็ต้องตกตะลึง เนื่องจาก สายที่ตอบกลับมา คือเสียงของลูกชายคนโตของเธอจริงๆ ซึ่งอินส์ลีย์บอกว่า เธอรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง และหลังจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของตำรวจออตตาวา อินส์ลีย์ ก็ได้พบกับลูกชายคนโตที่คิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว
จากที่กำลังจะมีการจัดงานในวันพรุ่งนี้ แต่กลายเป็นว่า ลูกชายของเธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคำถามว่า แล้วใครคือคนที่อยู่บนเตียงของโรงพยาบาล ที่นอนป่วยและเสียชีวิตลง CBC ได้ต่อสายถึง ฌอน ค็อกซ์ ลูกชายของอินส์ลีย์ ที่ถูกระบุว่าเสียชีวิตที่โรงพยาบาล โดยค็อกซ์ ในวัย 43 ปียืนยันว่า เกิดเรื่องประหลาดดังกล่าวขึ้นจริง และตอนนี้รู้สึกเหมือนกับได้รับโอกาสชีวิตเป็นครั้งที่สอง ข่าวระบุว่า ค็อกซ์ ได้กลับมาอยู่กับ อินส์ลีย์ ผู้เป็นแม่เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี โดยอินส์ลีย์ บอกว่า ค็อกซ์ มีปัญหาเรื่องการติดยาเสพติด และมักจะเปลี่ยนที่อยู่บ่อยครั้ง โดยจะติดต่อกับมาหาเธอเป็นพักๆเท่านั้น และหลังจากที่กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง อินส์ลีย์ ได้เปลี่ยนชื่อลูกของเธอในโทรศัพท์ เป็น ลาซารัส ฌอนมาร์ติน เซาเว ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของโรงพยาบาลมอนต์ฟอร์ต ยืนยันกับ CBC ผ่านทางอีเมล์ ว่า
ทางโรงพยาบาลได้รับแจ้งเมื่อวันที่ 19 มกราคมว่า เกิดการระบุตัวคนไข้ผิดพลาดขึ้น ซึ่งเป็นคนไข้ที่อยู่ในห้องไอซียู และเสียีชีวิตในเวลาต่อมา หลังจากนั้น จึงได้มีการยืนยันตัวตนที่แท้จริง และทางครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับทราบเรื่องแล้ว เซาเว ระบุด้วยว่า ทางโรงพยาบาลได้แสดงความเสียใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต และขอโทษกับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทั้งสองครอบครัว เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เซาเว ไม่ได้ตอบคำถามที่ว่า เกิดการระบุตัวคนไข้ผิดได้อย่างไร โดยเซาเวอ้างว่า เป็นเรื่องของความเป็นส่วนตัว ไม่สามารถบอกได้ อินส์ลีย์เล่าว่า ครอบครัวของเธอได้รับสายจากโรงพยาบาลในวันที่ 1 มกราคม วันปีใหม่ที่ผ่านมา แจ้งว่า
ลูกชายเธอป่วยหนัก พร้อมกับถามวันเดือนปีเกิดของลูกชายเธอ ก่อนจะบอกว่าให้รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เนื่องจากผู้ป่วยอาการหนักมาก เธอจึงรีบขับรถจากพิคตัน ออนแทริโอ ไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ที่กรุงออตตาวา โดยใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง และพบกับชายที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ในสภาพสายระโยงระยาง และเครื่องช่วยหายใจที่คลุมใบหน้าอยู่ โดยโรงพยาบาลแจ้งว่า พบลูกชายของเธอหมดสติอยู่ด้านหน้าอาคารแห่งหนึ่ง และต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตมาตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม และไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย อินส์ลีย์ กล่าวด้วยว่า
พยาบาลคนหนึ่งคิดว่า โรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยก่อนหน้า ได้แจ้งเธอแล้วว่า ชายที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยได้ว่าเป็น ค็อกซ์ ในขณะที่ผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียง ก็มีทรงผม และผมที่เหมือนกับลูกชายของเธอจริงๆ และอีกอย่างคือนิ้วหัวแม่เท้าที่มีขนดใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะทางพันธุกรรมของครอบครัวเธอที่เป็นเหมือนกัน และแม้ว่าจะรู้ว่าลูกชายสักแขนทั้งสองข้าง แต่ก็ไม่เคยได้เห็นขณะอยู่ในห้องไอซียู เนื่องจากมีผ้าห่มคลุมอยู่ตลอด โดยอินส์ลีย์ ยังได้เซ็นอนุญาตการบริจาคอวัยวะ ของลูกชายให้คนอื่น ในวันที่ 6 มกราคม ที่จะสามารถช่วยชีวิตคนได้ 3 คน คือไต 2 คน และตับ 1 คน อินส์ลีย์ บอกว่า เธอได้ขอให้เจ้าหน้าที่ที่ประกอบพิธี ช่วยสแกนลายมือของร่างให้ เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่หลังจากที่เริ่มรู้ว่าเป็นการเข้าใจผิด ทางตำรวจึงได้นำลายมือดังกล่าวมาตรวจสอบว่า ใครคือผู้เสียชีวิตที่แท้จริง