สืบเนื่องจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย บก.ปทส. ได้มอบนโยบายปราบปรามอาชญากรรมแก่หน่วยงานในสังกัดกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ และดำเนินการจับกุมผู้ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับการป่าไม้ และการตัดไม้ทำลายป่า

ต่อมา ชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปรามจังหวัดพิจิตร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบในพื้นที่จังหวัดพิจิตร จนเมื่อในวันที่ 14 ธันวาคม 2566 เวลาประมาณ 16.30 น. ได้ตรวจสอบพบมีร้านขายถ่านไม้ริมถนนทางหลวงหมายเลข 1276 ต.ไผ่รอบ อ.เมือง จ.พิจิตร ตั้งถ่านไม้ใส่กระสอบวางขายอยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้สอบถามเจ้าของร้านที่มาแสดงตน คือ นางลมัยพร (สงวนนามสกุล) พบว่าไม่เคยขออนุญาตครอบครองของป่าหวงห้ามมาก่อน จากการตรวจสอบรอบบริเวณร้านมีถ่านสต็อกอยู่มากกว่า 6 ตัน ประมาณ 500 กระสอบ

ด้านนางลมัยพร อ้างว่า รับซื้อมาเก็บไว้ใช้ในครัวเรือน และแบ่งขายตามโอกาส จึงไม่ได้ไปขออนุญาต ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้แจ้งให้ นางลมัยพร ทราบว่า ถ่านไม้ทุกชนิด ถือเป็นของป่าหวงห้าม ตามพระราชกฤษฎีกา กำหนดของป่าหวงห้าม พ.ศ. 2530 ซึ่งการที่จะมีไว้ในครอบครองเพื่อใช้ในครัวเรือนจะต้องมีไม่เกิน 130 กิโลกรัมเท่านั้น ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ หากเกินกว่านั้น ผู้ครอบครองจะต้องได้รับจากพนักงานเจ้าหน้าที่เสียก่อน จึงจะสามารถครอบครองไว้เพื่อประกอบการค้าได้

จากนั้น จึงได้ทำการตรวจยึดถ่านไม้ รวมแล้วน้ำหนักกว่า 6,000 กิโลกรัม พร้อมด้วยตัวนางลมัยพร นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์ประทับช้าง ดำเนินคดี ในข้อหาตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มีไว้ในครอบครองซึ่งของป่าหวงห้าม (ถ่านไม้ทุกชนิด) เกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ บก.ปทส.ขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่า การประกอบกิจการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป่าไม้ และทรัพยากรธรรมชาติ ผู้ที่ประกอบกิจการต้องศึกษาข้อกฎหมายให้ดีก่อนที่จะกระทำการ เพราะการประกอบกิจการทุกอย่างต้องขออนุญาตตามขั้นตอนให้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะเป็นวิถีชาวบ้าน แต่หากวิถีนั้นขัดต่อกฎหมาย ย่อมถูกดำเนินคดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดแล้วก็จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้เช่นเดียวกัน

ขอบคุณ เฟซบุ๊ก ข่าว บก.ปอท.

เรียบเรียง siamnews